สุดยอด นวัตกรรมยานยนต์สุดล้ำ แห่งโลกอนาคต

สุดยอด นวัตกรรมยานยนต์สุดล้ำ แห่งโลกอนาคต

สุดยอด นวัตกรรมยานยนต์สุดล้ำ แห่งโลกอนาคต

7 สุดยอด นวัตกรรม แห่งโลกอนาคต

วันนี้ทางเรา Olifun ได้รวบรวมเอา นวัตกรรมยานยนต์สุดล้ำ แห่งโลกอนาคต มาให้เพื่อนๆได้ ทำการเปิดหูเปิดตา และเตรียมสำหรับ สิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป เพราะเราเชื่อว่าวันหนึ่ง ทั้ง 7 อย่างที่เราได้นำมาให้เพื่อนๆได้รับ ชมในววันี้จะเป็น สิ่งที่เปลี่ยนแปลง ระบบยานยนต์สมัยนี้ ไปจนหมด และถูกแทนที่ด้วย เหล่า นวัตกรรมล้ำหน้าเหล่านี้

1. นวัตกรรมพวงมาลัยรถยนต์เป็นแทปเล็ตได้

          เรื่องของเจ้าพวงมาลัยอัฉริยะที่ว่านี้เป็นแผนพัฒนาของ Nissan ที่เรากำลังจะได้เห็นกันในปีนี้ ทั้งคอนโซลหรือแผงควบคุมด้านหน้ารถจะเปลี่ยนรูปแบบจากการขับขี่ด้วยพวงมาลัยปกติ (ถึงรูปร่างของพวงมาลัยจะดูล้ำหน้ากว่าปกติไปมากแล้วก็ตาม) กลายร่างเป็นแผงควบคุมด้วยระบบสัมผัสแบบเต็มรูปแบบกันเลย

          ส่วนพวงมาลัยเองก็จะกลายร่างเป็นหุ่นยนต์ที่ช่วยควบคุมการขับเคลื่อนแบบอันโนมัติเต็มรูปแบบ ซึ่งเราน่าจะเห็นการตกแต่งของรถยนต์แห่งอนาคตที่ว่านี้กันในอนาคต ที่รถขับเคลื่อนอัตโนมัติเริ่มวางตลาดกันอย่างจริงจัง

2. การใช้ข้อมูลชีวภาพแทนกุญแจ

          ระบบนี้จะทำให้การพกกุญแจรถเป็นเรื่องล้าสมัย เพราะเพียงคุณแตะมือจับประตู รถก็จะรู้ทันทีว่าคุณเป็นเจ้าของรถผ่านทางลายนิ้วมือ ถ้าหากคุณใช้รถร่วมกับผู้อื่น มันก็สามารถที่จะปรับเบาะที่นั่ง กระจกมองหลัง มุมพวงมาลัย ให้เข้ากับผู้ขับขี่แต่ละคนได้ทันที ส่วนรีโมทนั้นในอนาคตอาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบโทรศัพท์มือถือ เพื่อใช้ในหน้าที่ที่มากกว่าเดิม อาทิ ส่งรถไปหาที่จอด และเรียกรถกลับมารับ

3. ระบบแกะรอยการวิ่งของรถ

          ระบบนี้จะนำเอาข้อมูลรูปแบบการขับขี่ของเราที่เก็บไว้ในหน่วยความจำของรถ อาทิ ความเร็วที่ใช้, แรงจี และระยะทางที่ขับขี่ในแต่ละวัน มาใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อประเมินราคาในการต่อประกันภัยรถยนต์ คราวนี้แม้จะใช้รถยนต์รุ่นเดียวกัน แต่ใครขับดี ขับแย่ ราคาประกันก็จะไม่เท่ากัน เพราะความเสี่ยงต่างกันนั่นเอง ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ขับดีก็จ่ายน้อย

4. พลังงานไฟฟ้ากับรถคลาสสิค

          เป็นกระแสที่เริ่มมีคนให้ความสนใจในยุโรป ที่มีการคุมเข้มเรื่องมลภาวะ เป็นที่รู้กันว่าบรรดารถคลาสสิคนั้น เรื่องการควบคุมมลพิษไม่ใช่จุดแข็ง แต่จุดแข็งนั้นอยู่ที่รูปทรงที่งดงาม เลยมีกระแสการดัดแปลงเอาเครื่องยนต์เก่าไร้ประสิทธิภาพออก แล้วแทนที่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่เงียบและทรงพลังเข้าไปแทน อาจจะมีคนแย้งว่ามันจะขาดรสชาติ แต่เชื่อเถอะว่าหากได้ลองรถพลังงานไฟฟ้าดีๆ ดูสักครั้ง จะเข้าใจว่าแรงบิดมหาศาลที่มีให้ใช้ทันทีแบบไม่ต้องรอนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด หากเทียบกับเครื่องยนต์ดั้งเดิมที่จุกจิกและไม่มีเรี่ยวแรง แถมยังปล่อยมลภาวะมากมายอีกต่างหาก มีดีก็แค่เสียงคำรามประเภท “เห่าแต่ไม่กัด” อาจจะถึงเวลาที่เราน่าจะเอารถคลาสสิคมาทำให้ใช้งานได้ดีอีกครั้ง ด้วยหัวใจใหม่ไฮเทคน่าจะดีไม่น้อย ตัวอย่างที่เห็นได้เช่น มัสแตง รุ่นทศวรรษที่ 60 ที่ใช้ชื่อว่า ซอมบี 222 ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว เข้าไป ให้กำลัง 750 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 3.5 วินาที เท่านั้น

5. นวัตกรรมรถยนต์สุดล้ำที่บอกรายละเอียดเส้นทางบนกระจกหน้ารถ

          ลองนึกภาพตามว่า เมื่อการเดินทางของเรามีรายละเอียดต่างๆ ปรากฏขึ้นบนกระจกหน้ารถแบบ Real Time เลย นอกจากที่จะทำให้เราไม่ต้องละสายตาจากถนนแล้ว เรายังเห็นภาพจริงซ้อนทับกับ Holographic เหมือนการขับขี่ยานอวกาศในหนัง Sifi อย่างไรอย่างนั้น มันจะทำให้การขับขี่จะกลายเป็นเรื่องที่น่าสนุกและตื่นเต้นขนาดไหนกัน

          ซึ่งต้องขอบคุณบริษัท Way Ray ที่สร้าง Navion ขึ้นมาที่เฉพาะคนขับเท่านั้นที่จะมองเห็นเจ้าภาพ Holographic ที่ว่านี้และจะทำให้การขับรถตอนกลางคืนมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งนั่นทำให้เราคาดการณ์กันว่าในอนาคตอันใกล้นี้การเพิ่มรายละเอียดลงในภาพจริงจะกลายเป็นเรื่องปกติของการขับขี่ไปซะ

6. BMW series 7 กับกุญแจรถในอนาคตแบบสัมผัสหน้าจอ

          ข้อนี้เป็นจริงแล้วแต่ยังมีผู้ใช้อยู่จำนวนน้อยมาก เป็นทอร์กออฟเดอะทาวน์กันอยู่พักนึงเลยซึ่ง BMW เป็นเจ้าแรกที่ทำให้เราจุดประกายเรื่องของนวัตกรรมรถยนต์แห่งอนาคตที่แม้แต่กุญแจรถยังสามารถควบคุมการทำงานของรถได้เกือบครบทุกอย่าง ถ้ามองผ่านๆ ยังคิดว่าเป็นสมาร์ทวอทช์ซะอีก

          ส่วนการชาร์ตก็ต้องแน่นอนว่าเป็นแบบไร้สายกันแล้ว ทำให้เรารู้ว่าการควบคุมรถแห่งอนาคตนั้นเราทำจากตรงไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องนั่งในรถเท่านั้นอีกต่อไป อิสรภาพของการขับขี่อย่างแท้จริง

7. สั่งงานด้วยเสียง

          Voice Recognition เป็นระบบการทำงานตามคำสั่งเสียงของคุณทั้งหมด ไม่ว่าจะเปิดแอร์ ฟังวิทยุ เทคโนโลยีไม่ได้ถูกออกแบบไว้เพื่อความสะดวกสบายแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ จากการที่คนขับต้องเสียสมาธิเพื่อทำสิ่งเหล่านี้ และไม่โฟกัสกับการขับขี่นั่นเอง

Leave Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *