หมวดหมู่: Health & Fitness

ศัลยกรรมจมูก เสริมจมูกกระดูกอ่อนหลังหู คืออะไร มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ลดความเสี่ยงจมูกทะลุได้จริงไหม?

ศัลยกรรมจมูก เสริมจมูกกระดูกอ่อนหลังหู คืออะไร มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ลดความเสี่ยงจมูกทะลุได้จริงไหม?

ศัลยกรรมจมูก

ศัลยกรรมจมูก เสริมจมูกกระดูกอ่อนหลังหู คืออะไร มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ลดความเสี่ยงจมูกทะลุได้จริงไหม?

ศัลยกรรมจมูก เสริมจมูกกระดูกอ่อนหลังหู คืออะไร มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ลดความเสี่ยงจมูกทะลุได้จริงไหม ในปัจจุบันการทำจมูก เป็นการผ่าตัดโดยใช้วัสดุเสริมเข้าไป ส่วนมากจะใช้ซิลิโคนในการเสริมจมูก เรามีการใช้พวกวัสดุอื่นๆ เพื่อมารองปลายจมูกในหลาย ๆ อย่าง ตั้งแต่ กระดูกอ่อนหลังใบหู เนื้อเยื่อหลังใบหู หรือแม้แต่เนื้อเยื่อเทียมเองก็ตาม

เป้าหมาย ก็เพื่อเพิ่มความหนาของผิวหนังตรงช่วงบริเวณปลายจมูก และป้องกันตัวซิลิโคนกระทบกับผิวหนังปลายจมูกโดยตรง และยังช่วยเรื่องความปลอดภัย ในการเสริมจมูกกระดูกอ่อนหลังหู ไม่ให้บางตัวลงมากในระยะยาวนั่นเอง

เสริมจมูกกระดูกอ่อนหลังหู คืออะไร มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ลดความเสี่ยงจมูกทะลุได้จริงไหม?

ศัลยกรรมจมูก เสริมจมูกกระดูกอ่อนหลังหู คืออะไร มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ลดความเสี่ยงจมูกทะลุได้จริงไหม?

กระดูกอ่อนหลังหู คืออะไร

กระดูกอ่อนนั้น คือ ตัวช่วยลดความเสี่ยงต่อการทะลุหลังเสริมจมูก กระดูกอ่อนหลังใบหูคุณ จะถูกนำมาตัดแต่งเป็นรูปวงกลม และนำมาใส่ตรงช่วงบริเวณปลายจมูก เพื่อป้องกันซิลิโคนสัมผัสกับปลายจมูกโดยตรง ซึ่งกระดูกอ่อนหลังใบหูนี้ จะช่วยเพิ่มความหนาให้กับผิวปลายจมูก ซึ่งจะช่วยลดโอกาสปลายบาง ป้องกันการทะลุในระยะยาว ช่วยลดอาการเสียดสีของซิลิโคนกับเนื้อ ไม่ให้ดันเนื้อปลายจมูกจนทะลุ และยังช่วยทำให้ปลายจมูกเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

เสริมจมูกกระดูกอ่อนหลังหู อันตรายไหม

การผ่าตัดศัลยกรรมจมูก ด้วยกระดูกอ่อนหลังใบหูนี้ ไม่อันตรายแน่นอน เนื่องจากการนำกระดูกอ่อนมาส่วนนึง เพียงชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น และไม่ทำให้ใบหูเสียรูปทรงแต่อย่างใด กระดูกอ่อนที่นำมา คุณหมอจะนำมาปรับเหลา ก่อนใส่รองปลายซิลิโคน แล้วเสริมไปบนโครงสร้างจมูกของเรา หลังการทำผ่านไปสักระยะ รอยแผลหลังหู ก็จะค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ

ซึ่งการเสริมจมูกรองปลายกระดูกอ่อนนี้ รวมไปถึงเคสแก้จมูก รองปลายกระดูกอ่อนหลังหู จะสามารถช่วยป้องกันปัญหาปลายบาง ป้องกันการทะลุได้ เพราะคุณหมอเสริมสุดเนื้อแบบปลอดภัย และหากไม่เสริมพุ่งแหลมโด่ง จนฝืนเนื้อเกินไป ก็ลดการทะลุได้แน่นอน

โดยการดูแลหลังหูหลังทำเสร็จนั้น จะมีผ้าก็อซติดหูไว้ และให้งดโดนน้ำ หลีกเลี่ยงการนอนทับ และเมื่อครบ 7 วัน จึงจะได้ถอดผ้าก็อชหลังหูออก แล้วล้างแผล เช้า – เย็น งดโดนน้ำไปจนกว่าจะตัดไหม เมื่อครบ 14 วัน

ข้อดี – ข้อเสีย ของการใช้กระดูกอ่อนหลังหู

ข้อดี
– ช่วยเพิ่มความหนาให้กับปลายผิวจมูก
– ช่วยลดการเสียดสี ระหว่างซิลิโคนในจมูก กับผิวจมูกโดยตรง
– ป้องกันปัญหาปลายจมูกบาง

ข้อเสีย
– ทำจมูก แล้วต้องดูแลแผลหลังหูด้วย
– แผลห้ามโดนน้ำนาน ดดยต้องหลีกเลี่ยงการสระผม 1-2 สัปดาห์

กระดูกอ่อนหลังหู VS เนื้อเยื่อหลังหู แตกต่างกันอย่างไร

กระดูกอ่อนหลังใบหู เป็นเนื้อเยื่อของตัวเราเอง จะช่วยเพิ่มพื้นที่ปลายจมูกให้หนา และยาวขึ้น ลดการเสียดสีของซิลิโคน ไม่ให้ดันเนื้อปลายจมูกจนสามารถทะลุได้ ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมาะสำหรับงานแก้ไขจมูก หรือคนไข้ที่ปลายไม่บางมากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เห็นขอบกระดูกอ่อนได้ชัดเจน

เนื้อเยื่อหลังหู ก็เป็นเนื้อเยื่อของเราเอง จะช่วยซ่อมแซมปลายที่บางให้หนาขึ้นจากการเสริมครั้งแรก และนิยมใช้ในงานแก้จมูกกับคนไข้ที่มีอาการเนื้อปลายจมูกบางมาก ๆ เนื้อเยื่อหลังหูนี้ จะช่วยหุ้มกระดูกอ่อนหรือซิลิโคน ไม่ให้เห็นขอบ และทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ที่สำคัญช่วยป้องกันไม่ให้ปลายบางและใสอีกด้วย

ถ้าเคยผ่าตัดกระดูกอ่อนหลังหูมาแล้ว สามารถทำอีกรอบได้ไหม

ตอบได้เลยว่า สามารถทำได้ หากพบว่าเนื้อปลายจมูกคนไข้นั้น มีอาการบางมาก คุณหมออาจจะใช้ เนื้อเยื่อหลังหูหุ้มกระดูกอ่อนให้อีกชั้น เพื่อซ่อมแซมปลายที่บางให้หนาขึ้น จะช่วยลดอาการเห็นขอบ ของกระดูกอ่อนหลังใบหูด้วย

สำหรับการเลือกใช้กระดูกอ่อนหลังใบหู หรือเนื้อเยื่อหลังหูนี้ คุณหมอจะประเมินความหนาของบริเวณปลายจมูกอีกครั้ง เพื่อเลือกให้เหมาะสมว่า ควรใช้เป็นเนื้อเยื่อหลังหู หรือใช้กระดูกอ่อนหลังหูดี อย่างไรก็ตาม หากต้องการเสริมจมูก เราขอแนะนำเข้าไปปรึกษากับทางคุณหมอ เพื่อประเมินก่อนทุกครั้ง

จมูกเบี้ยว ปัญหาที่คนเสริมจมูกพบบ่อย เกิดจากอะไร และสามารถแก้ยังไงได้บ้าง

จมูกเบี้ยว ปัญหาที่คนเสริมจมูกพบบ่อย เกิดจากอะไร และสามารถแก้ยังไงได้บ้าง

จมูกเบี้ยว

จมูกเบี้ยว ปัญหาที่คนเสริมจมูกพบบ่อย เกิดจากอะไร และสามารถแก้ยังไงได้บ้าง

จมูกเบี้ยว นับเป็นปัญหาที่พบอยู่บ่อยๆ และทำให้หลายคนต้องแก้จมูก เพื่อให้ได้จมูกทรงสวยรับกับใบหน้า ตามที่ต้องการ แต่สำหรับใครที่อยากศัลยกรรมจมูก อย่าเพิ่งกังวลไปว่า หากตนเองทำจมูกแล้ว จะเกิดปัญหาเบี้ยวเอียงตามมา เนื่องจากการเกิดปัญหาจมูกเบี้ยวนั้น มีที่มาจากหลายสาเหตุ หากทำการศึกษาถึงต้นตอของปัญหาแล้ว และเลือกทำจมูก กับคลินิกที่ได้มาตรฐาน รวมถึงเลือกทำกับคุณหมอที่เชี่ยวชาญในเรื่องการปรับแก้โครงสร้างของจมูก เป็นพิเศษ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่า จะได้จมูกเอียง หรือเบี้ยวกลับมา หลังจากการทำไปแล้ว แต่สำหรับใครที่สงสัย และอยากรู้ว่าเคสจมูกเอียงเช่นนี้ เกิดขึ้นได้ยังไง และมีวิธีแก้ไขหรือไม่ ลองไปดูคำตอบในบทความนี้พร้อมกันเลยดีกว่า

จมูกเอียง ปัญหาที่คนเสริมจมูกพบบ่อย เกิดจากอะไร และสามารถแก้ยังไงได้บ้าง

จมูกเบี้ยว ปัญหาที่คนเสริมจมูกพบบ่อย เกิดจากอะไร และสามารถแก้ยังไงได้บ้าง

1. จมูกเอียง/เบี้ยวธรรมชาติ
ปัญหาจมูกเอียงนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากการเสริมจมูกภายหลังเท่านั้น แต่อาจจะเป็นปัญหาของจมูกเดิม ที่มีฐานจมูกเอียงอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งถ้าหากฐานจมูกเดิมของเรา มีลักษณะนูน คด เอียง หรือมีบริเวณแกนทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากัน เมื่อวางซิลิโคนลงไป ก็อาจจะทำให้เอียงตามฐานจมูกเดิมได้ หรืออาจจะเกิดจาก โครงหน้าเดิมของผู้เสริม ที่มีโหนกแก้มไม่เท่ากัน เมื่อทำการเสริมจมูกไปแล้ว ก็อาจทำให้มองแล้ว จมูกดูเบี้ยว หรือเอียง ซึ่งในกรณีนี้ จะต้องไปแก้ในส่วนของใบหน้า มากกว่าการทำจมูก จึงจะทำให้จมูกหายเบี้ยวได้

2. จมูกเอียงหลังเสริม
– แพทย์ทำการตกแต่งซิลิโคนยาวเกินพอดี กับรูปจมูกของคนไข้ ทำให้ซิลิโคนเกิดการเอียง ดูตึง และทำให้จมูกดูย้อย และในบางรายอาจถึงขั้นจมูกทะลุได้ทีเดียว
– เกิดจากพฤติกรรมบางอย่างของคนไข้เอง เช่น การขมวดคิ้ว ซึ่งอาจทำให้ซิลิโคนไม่เกาะ และหล่นลงมาได้
– เกิดจากการวางซิลิโคนที่ผิดตำแหน่ง โดยไม่ได้ทำการวางซิลิโคนไว้ใต้เยื่อหุ้มกระดูก ทำให้เกิดการเบี้ยวหรือเอียงได้ง่าย
– เกิดจากการกระแทก การชน หรือประสบอุบัติเหตุหลังจากการทำศัลยกรรมจมูก
– มีการเลือดออกบริเวณสันจมูก ทำให้มีอาการบวมช้ำหลังการผ่าตัดค่อนข้างมาก

แล้วจมูกสามารถเบี้ยวตรงไหนได้บ้าง

จริงๆ แล้วจมูกมีจุดที่สามารถเบี้ยว หรือเอียงอยู่ได้หลายจุดด้วยกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างปัญหาตามมา จนทำให้หลายคนต้องกลับมาแก้จมูกซ้ำอีกครั้ง โดยเราสรุปรวมตำแหน่ง ที่จมูกมักเกิดการเบี้ยวหรือเอียงมาให้ ดังนี้
– ฐานจมูก
– รูจมูก
– สันจมูก
– ปลายจมูก
– แกนกระดูกจมูก

วิธีการแก้จมูกที่เบี้ยวหรือเอียง

วิธีการแก้จมูกที่เบี้ยวนั้น ทางที่ดีที่สุดคือ การเข้ารับการปรึกษากับคลินิก และทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ในด้านการวิเคราะห์โครงสร้างใบหน้าและจมูก เพื่อทำการแก้ไขปัญหาจมูกที่เบี้ยวได้อย่างตรงจุด ซึ่งหากเข้ารับการบริการกับแพทย์ ที่มีความชำนาญ แพทย์มักจะทำการเหลาซิลิโคนใหม่ ให้แบบเคสต่อเคส เพื่อไม่ให้ซิลิโคนยาว หรือสั้นจนเกินไป ให้ดูเหมาะสม และทำการปรับแก้ให้เข้ากับปัญหา ที่ทำให้เกิดสาเหตุการเบี้ยวของจมูกได้จริง

ซึ่งวิธีการเสริมจมูก หรือแก้ไขทรงจมูกเดิม จะมีทั้งเทคนิคแบบ Closed และ Open แต่แพทย์มักนิยมใช้เทคนิคแบบเปิด หรือเทคนิคแบบโอเพ่น ในการปรับโครงสร้างจมูก เนื่องจากว่า เป็นเทคนิคที่ใช้แล้วช่วยปรับโครงสร้างจมูกได้ดีกว่า ได้ทรงจมูกสวยตามที่คนไข้ต้องการ และมักไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ ซึ่งการเสริมจมูกนี้ จะเป็นการเสริมแบบถาวร ถ้าในอนาคตไม่มีปัญหา หรือไม่อยากเปลี่ยนทรง เพื่อตามเทรนด์ ก็จะสามารถอยู่กับเราถาวรโดยไม่ต้องแก้ไข และไม่มีอันตรายอีกด้วย

โดยหลังจากทำการแก้จมูกเสร็จแล้ว จะต้องรออย่างน้อย 2-3 เดือน เพื่อให้เกิดการรัดแกนซิลิโคนก่อน รวมถึงปล่อยให้เนื้อเยื่อ ในแต่ละจุด มีอาการบวมที่ลดลง แล้วจึงประเมินว่า จมูกที่แก้นั้น ช่วยลดความเบี้ยวหรือเอียงได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งคุณจำเป็นต้องดูแลตัวเองให้ดี เพื่อให้ให้ร่างกายสามารถเสริมสร้างเนื้อเยื่อ เพื่อมารักษาบาดแผลได้อย่างเต็มที่ และป้องกันจมูกเอียงหรือเบี้ยว ที่อาจเกิดขึ้นได้จากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การเกิดอุบัติเหตุ การนอนตะแคง เป็นต้น

เริมที่ปาก มีอาการอย่างไร เกิดจากสาเหตุใด และมีวิธีรักษาหรือป้องกันแบบไหนกันนะ

เริมที่ปาก มีอาการอย่างไร เกิดจากสาเหตุใด และมีวิธีรักษาหรือป้องกันแบบไหนกันนะ

เริมที่ปาก

เริมที่ปาก มีอาการอย่างไร เกิดจากสาเหตุใด และมีวิธีรักษาหรือป้องกันแบบไหนกันนะ

เริมที่ปาก เป็นโรคที่พบได้บ่อยมากๆ ในทุกเพศ ทุกวัย แถมยังเป็นโรคที่สามารถติดต่อได้อีกด้วย หากมีการสัมผัสเชื้อ เช่น การจูบ การดื่มน้ำแก้วเดียวกัน การใช้หลอดดูดเดียวกัน การใช้ลิปสติกแท่งเดียวกัน การใช้ของร่วมกัน หรือแม้แต่การทำออรัลเซ็กส์ โดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย เป็นต้น ดังนั้น เราจึงควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้เพิ่มขึ้น เพื่อที่จะได้รู้สาเหตุ และป้องกันตนเอง ไม่ให้เกิดโรคนี้ได้

สาเหตุเริมที่ริมฝีปาก มีอาการอย่างไร เกิดจากสาเหตุใด และมีวิธีรักษาหรือป้องกันแบบไหนกันนะ

เริมที่ริมฝีปาก เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Herpes Simplex Type 1 Virus (HSV-1) สามารถติดเชื้อได้จากน้ำลาย และน้ำเหลือง หรือน้ำอสุจิ สารคัดหลั่ง โดยเชื้อไวรัสนี้ จะเข้าสู่ร่างกายได้ทางผิวหนังบริเวณที่มีรอยถลอก หรือแผล นอกจากนี้ ก็ยังสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ โดยผ่านทางเยื่อเมือก เช่น เยื่อบุปาก เป็นต้น โดยเมื่อเชื้อไวรัสนี้ เข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็จะเข้าไปอยู่ในเซลล์ผิวหนังชั้นล่าง โดยในบางครั้ง ก็อาจจะไม่มีอาการแสดงให้เห็น แต่ผู้ป่วยบางราย ในทำนองเดียวกันนี้ เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุเริมที่ริมฝีปากนี้ ก็อาจจะเกิดมีการแบ่งตัวและทำลายเซลล์ผิวหนังทำให้เกิดเป็นตุ่ม ใส ๆ เมื่อตุ่มน้ำเหล่านี้ ได้แห้งหรือแตกแล้ว ก็จะเกิดเป็นสะเก็ดและก็หายไป โดยไม่มีแผลเป็นใด ๆ

เริมที่ปาก มีอาการอย่างไร เกิดจากสาเหตุใด และมีวิธีรักษาหรือป้องกันแบบไหนกันนะ

อาการของเริมที่ริมฝีปาก

– รู้สึกแสบร้อน ในบริเวณริมฝีปาก หรือมีอาการคันยุบยิบ
– มีตุ่มพองใส ๆ ลักษณะจะคล้ายพวงองุ่น บริเวณปาก ริมฝีปากหรือรอบ ๆ ปาก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งริมฝีปากบน หรือริมฝีปากล่างและในช่องปาก
– ปากเป็นแผล มีอาการบวมแดง และรู้สึกเจ็บปวดเพิ่มขึ้น หรืออาจมีอาการไข้ร่วมด้วย
– ปวดศีรษะ และรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง
– อาการนี้ อาจกินระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ และสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ จนกว่าแผลจะหายไปหมด

การรักษา

ในปัจจุบันนี้ ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และสามารถเกิดซ้ำได้ทุกเมื่อ ใครหลาย ๆ คน จึงเป็นเริมบ่อยมาก เมื่อไหร่ที่ร่างกายอ่อนแอ หรืออยู่ในช่วงที่ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ มีอาการป่วย รู้สึกเครียด หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดนแดดจัดจนผิวไหม้แดด รวมไปถึง ผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดคีโม และใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากเมื่อคุณรู้ตัวว่าเป็นเริมที่ริมฝีปาก ก็ควรรีบรักษา เพราะอาจจะส่งผลในชีวิตประจำวันได้ อีกทั้งยังกระทบต่อบุคลิกภายนอกของเรา หากต้องพบปะลูกค้า คุยงาน ออกงานสำคัญ อาจจะทำให้คุณรู้สึกไม่มั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันได้

การดูแลแผลเริมที่ปากด้วยตัวเอง

– ให้ใช้น้ำเกลือ หรือน้ำอุ่น ทำความสะอาดแผล ค่อย ๆ เช็ดทำความสะอาดบริเวณแผล อาจเลือกทำก่อนที่จะใช้ยาทารักษาที่ปาก เพื่อให้ตัวยา สามารถซึมเข้าไปในแผลได้ดีขึ้น และอย่าลืมล้างมือให้สะอาดหลังจับแผลเริม เพื่อป้องกันการลุกลามไปติดเชื้อ ในบริเวณอื่นของร่างกาย

– ควรให้แผลเริมแห้งอยู่เสมอ หลังจากอาบน้ำ ล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ก็ควรเช็ดบริเวณแผลให้แห้ง ไม่ควรปล่อยให้ชื้น เพราะจะทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ หรือหากมีการแสบร้อนขึ้น แนะนำให้ทาด้วยเจลว่านหางจระเข้ 100% วันละ 2-3 รอบ

– ตัดเล็บมือให้สั้น เพื่อรักษาความสะอาดของเล็บและมือ พยายามไม่ไปแคะ หรือแกะเกาบริเวณแผลในระหว่างวัน ซึ่งอาจมีอาการแสบหรือคันขึ้นได้

– ทาลิปมันที่มีสารที่ช่วยป้องกันแสงแดด เพื่อป้องกันโอกาสเสี่ยงที่แผลจะไหม้แดด จากรังสี UV ในกรณีที่คุณ จะต้องออกไปนอกบ้าน หรือพบเจอแสงแดดแรง ๆ

– งดอาหารประเภทของหมักดอง ของแปรรูป และอาหารที่มีรสจัด เพราะมีผลกระตุ้นให้ อาการของโรคเริมกำเริบได้ง่าย

การป้องกันไม่ให้เป็นเริม

– หลีกเลี่ยงในการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อ
– หลีกเลี่ยงในการใช้สิ่งของ เครื่องใช้ร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่มีเชื้อ
– หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ ในการรับประทานอาหารและแก้วน้ำร่วมกัน
– ดูแลสุขภาพตนเอง พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ

กลั้นตด อันตราย 5 เหตุผลที่คนเราไม่ควรอั้นตด พร้อมเคล็ดลับการตด

กลั้นตด อันตราย 5 เหตุผลที่คนเราไม่ควรอั้นตด พร้อมเคล็ดลับการตด

กลั้นตด อันตราย

กลั้นตด อันตราย 5 เหตุผลที่คนเราไม่ควรอั้นตด พร้อมเคล็ดลับการตด

กลั้นตด อันตราย การตด หรือผายลมในที่สาธารณะ ดูจะเป็นมารยาทที่ไม่ค่อยงามสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะการผายลม ที่ส่งเสียง หรือส่งกลิ่นรบกวนคนอื่น ที่ไม่รู้จัก ทำให้หลายคนพยายามกลั้นเอาไว้ แต่การกลั้นตดเป็นประจำนั้น อันตรายหรือไม่ เพราะลมตดนั้น ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกายของเราแน่ๆ แม้ว่าการตด หรือผายลมจะเป็นเรื่องธรรมชาติ และทุกคนย่อมเคยมีประะสบการณ์นี้ทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่ ก็หลีกเลี่ยงที่จะปล่อยมันออกมา เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ

ในความเป็นจริงแล้ว ตดซึ่งเป็นแก๊ส หรือลมที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของเรานี้ เกิดขึ้นจากกระบวนการ การย่อยอาหาร ที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวัน โดยจุลินทรีย์ และแบคทีเรียในลำไส้ของเรา นอกจากนี้ ยังอาจมาจากแก๊สส่วนเกิน ที่เกิดขึ้น ในขณะที่เรากลืนอาหาร เคี้ยวอาหาร ดื่มเครื่องดื่มบางประเภท หรือหายใจทางปากได้ด้วย ทั้งนี้ สถาบันโรคเบาหวาน, โรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร และโรคไตแห่งชาติ (The National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ระบุรายการอาหารและเครื่องดื่ม ที่เป็นสาเหตุของแก๊สในระบบทางเดินอาหารไว้ ซึ่งได้แก่ ถั่ว ผลิตภัณฑ์จากนม หน่อไม้ฝรั่ง ยา และธัญพืช หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางประเภท

5 เหตุผลที่คนเราไม่ควรอั้นตด พร้อมเคล็ดลับการตด

กลั้นตด อันตราย 5 เหตุผลที่คนเราไม่ควรอั้นตด พร้อมเคล็ดลับการตด

ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ก็สามารถจะตดได้มากถึง 20 ครั้งในแต่ละวัน โดยไม่ต้องมาพร้อมกับเสียงหรือกลิ่นก็ได้ ซึ่ง 60 เปอร์เซ็นต์ของลมที่ปล่อยออกมา ก็คือ แก๊สไนโตรเจน อีก 20 เปอร์เซ็นต์ คือ แก๊สไฮโดรเจน และส่วนที่เหลือ ก็คือ คาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน และมีเทน แต่ปัจจัยที่ทำให้ตดมีกลิ่นเหม็นก็คือ กำมะถัน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 1 เ% ของตดที่ปล่อยออกมาเท่านั้น

เมื่อทราบที่มาแล้ว ก็คงพอจะกล่าวได้ว่า ตดหรือการผายลม ไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัย ที่จะเก็บเอาไว้ในร่างกายของเรา และเมื่อเรากลั้นตด แก๊สเหล่านี้ ก็ไม่ได้หายไป ร่างกายจึงพยายามจะหาทางกำจัดมันออกไป ในทางอื่นของร่างกายแทน เช่น ผ่านปากโดยการเรอ หรือซึมเข้าสู่กระแสเลือด แล้วก็ขับออกทางลมหายใจแทน

อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่จะกักตดไว้ในร่างกายของเรานั้น ย่อมทำให้เกิดแรงดันจากแก๊สขึ้น อย่างน้อยก็ก่อนที่ร่างกายจะหาทางกำจัดแก๊สเหล่านี้ ออกไปได้จนหมด แรงดันที่เกิดขึ้น เนื่องจากการกลั้นตด และการสะสมแก๊สไว้ในลำไส้ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายท้อง กระเพาะอาหารหดเกร็ง หรือท้องอืด แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ที่แสดงให้เห็น ถึงอันตรายจากการกลั้นตดนี้ นอกจากอาการปวดท้อง แน่นท้องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงเท่านั้น อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ก็แนะนำว่า ทางที่ดีเราไม่ควรกลั้นตด หากอยู่ในที่ส่วนตัว ซึ่งสามารถปล่อยมันออกมาได้ อย่างไม่ต้องเกรงใจใคร จะดีที่สุด

5 เหตุผลที่คนเราไม่ควรอั้นตด

1. เมื่อคุณบังคับตัวเองให้กลั้นลมไว้ ร่างกายจำเป็นที่จะต้อง ดูดซับก๊าซเสียๆ เหล่านั้น กลับเข้าไปอีกรอบ และเปลี่ยนมาออกทางปาก หรือจมูกของคุณแทน
2.กลั้นตดนานๆ อาจทำให้ปวดท้องได้ เนื่องจากมีการเกร็ง ของกล้ามเนื้อหน้าท้อง อาจทำให้คุณอาจเกิดอาการเจ็บภายในช่องท้อง และทำให้อาหารภายในกระเพาะย่อยยากมากขึ้นด้วย
3. การตดจะช่วยลดความดันในลำไส้ได้ ซึ่งการกลั้นตดอาจทำให้ลำไส้เกิดการบีบตัวอย่างหนัก และนำไปสู่โรคริดสีดวงทวารได้
4. การอั้นตดจะทำให้คุณท้องอืด และรู้สึกอึดอัดท้อง ซึ่งอาการเหล่านี้ อาจจะทำให้คุณเสียความมั่นใจ และรู้สึกไม่ร่าเริงในการใช้ชีวิตประจำวันได้
5. กลิ่นตด สามารถบอกอาการป่วยของร่างกายได้ เช่น อาการป่วยจากอาหารเป็นพิษ หรือบอกสุขภาพของระบบย่อยอาหาร เช่น การตดที่มีเสียดังและกลิ่นเหม็น คืออาหารที่ไม่ได้รับการย่อยเท่าที่ควร หรือรู้สึกเจ็บเวลาตด นั่นหมายความว่า คุณควรไปปรึกษาแพทย์ ที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารได้แล้วนั่นเอง

เคล็ดลับไม่ให้ผายลมเสียงดัง และไม่ให้มีกลิ่นเหม็น

1. การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมของคาร์บอเนต เช่น น้ำอัดลม หรือโซดา
2. การเคี้ยวอาหารให้ละเอียด และช้าลงอีกหน่อย เพื่อช่วยให้กระเพาะ และลำไส้ไม่ต้องทำงานหนักมากขึ้น
3. รับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารอย่างผลไม้ เช่น กล้วย มันฝรั่ง ส้ม เป็นต้น เนื่องจากอาหารเหล่านี้ จะสามารถทำให้กลิ่นตดของเราเบาบางลงได้
4. เลี่ยงการเอาลมเข้าร่างกายเกินความจำเป็น เช่น การเคี้ยวหมากฝรั่ง กินเร็ว กินไปคุยไป สูบบุหรี่ เป็นต้น
5. ลดปริมาณเนื้อสัตว์ และเพิ่มการกินผักและผลไม้ในมื้ออาหาร พยายามถ่ายหนักทุกเช้า เพื่อขจัดของเสีย ซึ่งมันจะสามารถช่วยลดความเหม็นของกลิ่นตดได้

รักษาภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการที่เยื่อบุจมูก แก้ไขก่อนลุกลาม

รักษาภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการที่เยื่อบุจมูก แก้ไขก่อนลุกลาม

รักษาภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการที่เยื่อบุจมูก แก้ไขก่อนลุกลาม

รักษาภูมิแพ้

รักษาภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการที่เยื่อบุจมูก แก้ไขก่อนลุกลาม ปัจจุบันมีผู้ป่วยภูมิแพ้จำนวนมาก โดยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขเมื่อปี 2559 บอกว่า 38% ของเด็กไทย และ 20% ของผู้ใหญ่ มักป่วยเป็นโรคนี้ โดยมีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มากขึ้น ถึง 3-4 เท่า หากเทียบกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมลภาวะที่เพิ่มขึ้นในสังคมไทยเรา ทำให้สารที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้นั้น เพิ่มสูงขึ้นไปด้วย โดย นพ.อุทัย ประภามณฑล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรม ศีรษะ, ลำคอ, หลอดลม, และกล่องเสียง ศูนย์หู คอ จมูก ซึ่งวันนี้ เราได้นำบทความ มาอธิบายถึงโรคนี้ให้ได้ทำความเข้าใจกัน

โรคภูมิแพ้ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการที่เยื่อบุจมูก แก้ไขก่อนลุกลาม

ภาวะภูมิแพ้ หรือ ภาวะจมูกอักเสบเรื้อรัง เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น จากการที่เยื่อบุจมูกมีความไวผิดปกติ ต่อสิ่งกระตุ้น หรือสารก่อภูมิแพ้ อาทิเช่น ควัน, ฝุ่นละออง, เกสรดอกไม้ เป็นต้น ทำให้ เมื่อผู้ป่วยได้สัมผัสกับสิ่งกระตุ้นดังกล่าว จะทำให้เกิดอาการ คัน ไอ จาม หรือมีน้ำมูกไหล ได้

ถึงแม้ว่าโรคจมูกอักเสบ จากภูมิแพ้นี้ จะไม่รุนแรง แต่ค่อนข้างมีผลต่อการใช้ชีวิตอยู่ในสังคม และทำให้ประสิทธิภาพ ในการทำงานลดลง แถมยังสร้างความรำคาญ ให้กับคนรอบตัว และตัวผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีน้ำมูกไหล หรือจามอยู่ตลอดเวลา และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจเกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จึงไม่ควรละเลย ที่จะเข้ามาทำการรักษาให้หายขาด เพราะการรักษาโรคนี้ ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด

รักษาภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการที่เยื่อบุจมูก แก้ไขก่อนลุกลาม

อาการแบบนี้ ควรปรึกษาแพทย์

หากว่าสังเกตตัวเองดีๆ ผู้ป่วยภูมิแพ้ มักจะมีอาการเมื่อสัมผัสสารที่ก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นบ้าน, ไรฝุ่น, เกสรดอกไม้ ฯลฯ ซึ่งลักษณะอาการหลักๆ ดังนี้

– คันจมูก และจามหลายครั้งติดต่อกัน เพราะร่างกายพยายามขับสิ่งที่ผู้ป่วยแพ้ให้ออกมา
– น้ำมูกใสๆ ไหลตลอดเวลา คล้ายอาการของคนที่เป็นหวัดคัดจมูก ซึ่งอาการเหล่านี้ มักจะแสดงออกมาเป็นเวลาค่อนข้างนาน บางครั้งอาจเป็นชั่วโมง และก็สามารถหายได้เอง
– บางรายจะมีอาการอื่นๆ เกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น คันตา คันคอ คันหู หรือบางรายก็คันที่เพดานปากด้วย หรือไม่ก็ปวดศีรษะ ไอ เจ็บคอ หรือหูอื้อ

นอกจากอาการหลักๆ เหล่านี้แล้ว ผู้ป่วยที่มีอาการจมูกอักเสบ จะพบว่าเยื่อบุจมูกจะบวมมาก หรือบางครั้งจมูกของผู้ป่วย ก็จะบวมไปด้วย มีน้ำมูกใสๆ ไหลออกมาเป็นจำนวนมาก เยื่อบุจมูก ก็อาจมีริดสีดวงจมูกร่วมด้วยได้ และผนังด้านในคอจะเป็นตุ่มนูนแดงกระจายไปทั่ว ซึ่งก็เกิดจากการระคายเคืองจากน้ำมูก ที่ไหลลงคอ หรือจากการหายใจทางปาก และหากรู้ตัวว่าอาการรุนแรงขึ้น ก็ควรรีบพบแพทย์เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ นอกจากนี้ ความเครียด ก็เป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพหลายอย่าง รวมถึงภูมิแพ้ด้วย เมื่อผู้ป่วยเกิดความเครียดมาก ก็อาจส่งผลให้อาการที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้น

รักษาอย่างไร ก่อนอาการรุนแรง

1. การใช้ยาเพื่อรักษา : โรคจมูกอักเสบนี้ มีการรักษาด้วยยาเหลายชนิด เช่น ยาต้านฮีสตะมีน ที่ใช้ก่อนมีอาการ และจะใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการแพ้ไม่มาก หรือยาหลอดเลือดที่ทำให้หลอดเลือดมีการหดตัว และเนื้อเยื่อในจมูกลดอาการบวม ทำให้อาการคัดจมูกน้อยลง

2. การฉีดวัคซีน : เป็นการฉีดสาร ที่คาดว่าผู้ป่วยจะแพ้ ที่บริเวณผิวหนัง หรือใต้ผิวหนังของผู้ป่วย ทำให้เซลล์ระบบภูมิคุ้มกันมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทำให้โรคจมูกอักเสบนั้นลดลง

3. การผ่าตัด : สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยาแล้วไม่ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การใช้คลื่นวิทยุจี้เยื่อบุจมูก เพื่อลดอาการบวมของเยื่อบุจมูก ทำให้ผู้ป่วยมีอาการคัดจมูกดีขึ้น หรือการผ่าตัด เพื่อนำเอาเส้นประสาทที่มาหล่อเลี้ยงเยื่อบุจมูกออกไป จะช่วยลดอาการน้ำมูกไหลได้

4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ : ถือเป็นการรักษาที่ถูกต้อง และส่งผลดีต่อผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อทราบต้นเหตุ และสามารถหลีกเลี่ยงได้แล้ว จะทำให้โพรงจมูกอักเสบลดลง แต่ในความเป็นจริงนั้น ทำได้ยากมาก จึงต้องรักษาด้วยการกินยาควบคู่กัน

เมื่อรู้ตัวว่าตนเองเป็นภูมิแพ้ นอกจากต้องดูแลร่างกาย ให้แข็งแรงอยู่เสมอ ควบคู่ไปกับออกกำลังกายเป็นประจำแล้ว หากสังเกตพบว่าอาการแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตัดปัญหาที่ต้นเหตุ และป้องกันไม่ให้เกิดอาการที่รุนแรงต่อไป

เคล็ดลับชะลอวัย ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น เพื่อใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายของชีวิตได้อย่างมีความสุข

เคล็ดลับชะลอวัย ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น เพื่อใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายของชีวิตได้อย่างมีความสุข

เคล็ดลับชะลอวัย

เคล็ดลับชะลอวัย ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น เพื่อใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายของชีวิตได้อย่างมีความสุข

เคล็ดลับชะลอวัย ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น เพื่อใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายของชีวิตได้อย่างมีความสุข เพราะร่างกายของเราผ่านการทำงานมาอย่างหนักหน่วงทุกวัน เปรียบเสมือนเครื่องจักร ที่ต้องมีการเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ หากขาดการบำรุงและรักษา ที่ถูกต้องตามระยะเวลา ก็ย่อมจะทำให้ความเสื่อมสภาพของร่างกายนั้น เกิดขึ้นอย่างรุนแรงได้

โดยเฉพาะเมื่อเราอายุมากขึ้นจนถึงหลักสี่ ความร่วงโรยต่าง ๆ มักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มากกว่าตอนที่เรายังมีอายุน้อยๆ การที่เราผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้ 40 ปี จะทำให้เริ่มที่จะพบเจอ กับโรคภัยต่างๆ ที่สะสมมานาน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณสามารถที่จะปลอดภัยจากความเสี่ยง ในการเป็นโรคต่างๆ ได้ ก็ต้องเกิดจากการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี เพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และส่งเสริม หรือซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทำให้สามารถที่จะใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายของชีวิตได้ อย่างมีความสุขเหมือนกับตอนที่ยังมีอายุน้อยอยู่

ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น เพื่อใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายของชีวิตได้อย่างมีความสุข

เคล็ดลับชะลอวัย ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น เพื่อใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายของชีวิตได้อย่างมีความสุข

1. ด้านอาหาร

โดยทั่วไปแล้ว คนที่เริ่มมีอายุมากขึ้น ก็จะต้องมีการดูแลตัวเองมากขึ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็มักจะดูแล ในเรื่องการรับประทานอาหาร ไม่ว่าจะเป็น การลดการรับประทานเนื้อสัตว์ แต่ไปเพิ่มการรับประทานผัก และผลไม้ให้มากขึ้น การหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ทั้งหวาน มัน หรือเค็ม ลดการดื่มแอลกอฮอล์ หรือกาแฟที่มากจนเกินไป และยังต้องมีการเน้นโภชนาการบางส่วน เพื่อจะช่วยซ่อมแซมร่างกายในส่วนที่สึกหรอ หรือเสื่อมสภาพตามวัย

2. ด้านกระดูกและฟัน

กระดูกและฟัน ที่เป็นแกนกลางของร่างกาย สารอาหารที่สำคัญที่เป็นตัวการในความแข็งแรง ก็คือ ส่วนของแคลเซียม และฟอสฟอรัส  เมื่อร่างกายคนเรา มีอายุมากขึ้น ก็จะย่อมมีปัญหาในเรื่องของกระดูก ไม่ว่าจะเป็น ปัญหากระดูกบาง หรือกระดูกพรุน โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน  ยิ่งจำเป็นที่จะต้องเสริมสร้างแคลเซียม ให้มากกว่าคนทั่วไป รวมไปถึงคนที่มักจะมีการดื่มสุรา กาแฟ สูบบุหรี่จัด ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย หรือเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ก็จำเป็นที่จะต้องได้รับแคลเซียมเข้าไปเพื่อฟื้นฟูร่างกาย หรือเพื่อเสริมสร้างมวลกระดูก ให้มีความแข็งแรงมากขึ้น

3. ด้านสมองและหัวใจ

เมื่อเรามีอายุมากขึ้น ระบบการประมวลความคิดของสมอง ก็จะถดถอยลง เนื่องจากเซลล์สมองที่เสื่อมลงตามวัย ดังนั้น คนที่มีอายุสูงก็จำเป็น จะต้องมีการบำรุงสมอง ด้วยการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของ วิตามิน B12 ที่จะมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาท และสมอง รวมไปถึงได้รับสารอาหารบางอย่าง เช่น เลซิติน ก็จะช่วยในการบำรุงสมอง และเพิ่มการจดจำให้ดีมากขึ้น

4. ด้านหัวใจ

ในส่วนของหัวใจ ที่เป็นหนึ่งในอวัยวะที่ทำงานตลอดเวลา และจะทำงานหนักมากขึ้นตามวัยที่มากขึ้น รวมไปถึงความยืดหยุ่นของหลอดเลือดหัวใจ ที่จะน้อยลงตามไปด้วย ยิ่งถ้าหากคุณเป็นคนที่มีไขมันในเส้นเลือดสูง ความยืดหยุ่นของหัวใจ ก็ย่อมลดลงมากกว่า เพราะว่าคอเลสเตอรอลที่เข้าไปเกาะในหลอดเลือด จะเป็นอุปสรรคต่อการไหลเวียนโลหิต และทำให้เกิดเป็นโรคหัวใจตีบได้ ดังนั้น จึงจะต้องมีการดูแลหัวใจ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีไขมันไม่สูงมากเกินไป รวมถึงการเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันดี หรือมีโอเมกก้า 3 ที่สูง เพื่อที่จะช่วยในการลดการแข็งตัว ของเลือด และลดการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจได้ดียิ่งขึ้น

5. ด้านผิวพรรณ

ในส่วนของการดูแลผิวพรรณ ก็เป็นสิ่งที่ควรที่จะทำเช่นเดียวกันกับร่างกายส่วนอื่นๆ ยิ่งมีอายุที่มากขึ้นความเสื่อมถอยของผิวหนังก็จะต้องมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น จึงควรที่จะมีการทาครีมกันแดดทุกวัน แม้จะออกแดด หรือไม่ออกแดดก็ตาม เพื่อปกป้องผิวจาก UVA UVB รวมไปถึงจะต้องมีการเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวด้วยการใช้ moisturizer เป็นประจำทุกวันเช่นเดียวกัน ก็จะช่วยทำให้ผิวพรรณของคุณผู้หญิงที่มีอายุมาก ยังคงนุ่มเด้งเหมือนกับแรกสาว

อาการปวดหลัง ปวดหลังแบบไหน ต้องรีบไปหาแพทย์ ปวดหลังบ่อยๆ อย่าปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายกว่าที่คุณคิด

อาการปวดหลัง ปวดหลังแบบไหน ต้องรีบไปหาแพทย์ ปวดหลังบ่อยๆ อย่าปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายกว่าที่คุณคิด

อาการปวดหลัง ปวดหลังแบบไหน ต้องรีบไปหาแพทย์ ปวดหลังบ่อยๆ อย่าปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายกว่าที่คุณคิด

อาการปวดหลัง

อาการปวดหลัง เชื่อว่าเรา ๆ ท่าน ๆ คงเคยมีอาการ “ปวดหลัง” บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อย อาจจะมีอาการเป็นวัน หรือบางคนก็อาจมีอาการเป็นเดือน เช่น ปวดจากการทำงานหนัก มีสาเหตุจากกล้ามเนื้อ มักเกิดจากการทำท่าทางซ้ำ ๆ ในท่าเดิม ๆ โดยทั่วไปแล้ว เป็นการปวดหลังที่ไม่อันตราย ส่วนใหญ่จะดีขึ้นหลังพัก และไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่การปวดที่รุนแรง หรือมีอาการนานเป็นเดือน และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันนั้น มักจะมาจากสาเหตุที่อันตรายและมีความรุนแรง การปวดหลังลักษณะนี้ต้องรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรีบหาสาเหตุ และรับการรักษาอย่างถูกต้อง

ปวดหลังแบบไหน ต้องรีบไปหาแพทย์ ปวดหลังบ่อยๆ อย่าปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายกว่าที่คุณคิด

อาการปวดหลัง ปวดหลังแบบไหน ต้องรีบไปหาแพทย์ ปวดหลังบ่อยๆ อย่าปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายกว่าที่คุณคิด

อาการ“ปวดหลัง” มีกี่แบบ?

อาการ“ปวดหลัง” สามารถแบ่งได้เป็น 3 แบบตามระยะเวลาคือ
– ปวดแบบเฉียบพลัน คือ มีการปวดต่อเนื่องน้อยกว่า 6 สัปดาห์
– ปวดแบบกึ่งเฉียบพลัน คือ มีการปวดหลังต่อเนื่อง 6-12 สัปดาห์
– ปวดแบบเรื้อรัง คือ มีการปวดหลังต่อเนื่องนานกว่า 12 สัปดาห์

และยังสามารถแบ่งตามบริเวณที่ปวดได้ดังต่อนี้

1. ปวดหลังส่วนบน
ปวดหลังส่วนบน มักจะเกิดร่วมกับอาการปวดคอ ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการใช้ท่าทางที่ไม่เหมาะสมระหว่างวัน เช่น การนั่งทำงานหน้าจอคอมฯ หรือการก้มเล่นมือถือนาน ๆ ที่เป็นสาเหตุของโรคออฟฟิตชินโดรม ซึ่งอาการปวดหลังส่วนบนนี้ อาจพบได้ในโรคของกระดูกต้นคอ ที่ทำให้เกิดอาการปวดคอ ร่วมกับการปวดหลังในส่วนบน

2. ปวดหลังช่วงเอว หรืออาการ ปวดหลังส่วนล่าง
การปวดหลังระดับเอว หรือการปวดหลังส่วนล่าง (low back pain) เป็นการปวดที่พบบ่อยที่สุด ของโรคทางกระดูกและข้อ สาเหตุเกิดจาก 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ จากกล้ามเนื้อหลัง และจากข้อต่อกระดูกสันหลัง โดยจะมีการปวดหลังบริเวณเอว ต่ำกว่าขอบของซี่โครง ซี่ล่างสุด ไปจนถึงบริเวณสะโพกและก้น มีอาการมากขึ้น หรือลดลงสัมพันธ์ กับท่าทางในการเคลื่อนไหว หรืออาจปวดตลอดเวลาโดยไม่สัมพันธ์กับท่าทาง บางรายอาจมีอาการปวดกลางคืน มากจนไม่สามารถนอนหลับได้ ทั้งนี้ ก็ขึ้นกับพยาธิสภาพของโรคนั้น ๆ

3. การปวดหลังด้านซ้ายหรือด้านขวา
การปวดหลังด้านซ้าย หรือปวดหลังด้านขวา มักมีสาเหตุจากกล้ามเนื้อหลังผิดปกติ หรือกระดูกอ่อนอักเสบ อุบัติเหตุ การกระแทก การเกร็ง หรือการยกของหนัก และสาเหตุอื่น ๆ เช่น แน่นหน้าอก จากสาเหตุทางโรคหัวใจ หลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องอก มีกรดไหลย้อน เยื่อหุ้มปอดอักเสบ โรคไต นิ่วในไต หรืออาจจะเป็นปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะ จึงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงดีกว่า

อาการปวดแบบไหนที่ควรรีบไปพบแพทย์

– ปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง มานานมากกว่า 3 เดือน

– มีอาการปวดที่รุนแรง พักหรือรับประทานยาแก้ปวดพื้นฐานแล้วไม่ดีขึ้น จนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ

– ปวดร้าวลงมาที่ต้นขา หรือขา หรือ ลงไปปลายเท้า ข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้าง

– มีความรู้สึกที่ผิดปกติ เช่น มีอาการชาขา เท้าชา หรือมีอาการแสบร้อน มีการอ่อนแรงของขา

– ไม่สามารถนั่งหรือยืนเดินนาน ๆ ได้ ร่วมกับปวดร้าวลงขา

 

อาการเหล่านี้ มักมีสาเหตุมาจาก หมอนรองหรือข้อต่อกระดูกสันหลัง หรือโพรงประสาทหลัง ไปเบียดหรือกดทับรากประสาทที่ลงมาขา จึงควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็วที่สุด อีกหนึ่งอาการของโรคของกระดูกสันหลังที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ก็คือ โรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ

โรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ ที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ

อาการของโรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ

ผู้ป่วยมักมีอาการปวดหลังส่วนล่าง ร้าวลงมายังสะโพก มีอาการร้าวลงมาขาข้างนึง หรือสองข้าง บางครั้งมีอาการปวดร้าวลงไปปลายเท้า อาการจะเป็นมากขณะที่ยืนหรือเดิน เป็นเวลานาน ๆ บางครั้งมีอาการชาหรืออ่อนแรงขา ร่วมด้วย ต้องก้มตัว นั่งพัก บางคนอาจต้องนั่งยอง ๆ เพื่อให้อาการดีขึ้น จนสามารถยืนและเดินต่อได้ อาการมักค่อยเป็นค่อยไป จนมากขึ้น ถึงขั้นที่ไม่สามารถยืนหรือเดินนานได้

 

การรักษาโรคโพรงประสาทหลังตีบแคบ

เนื่องจากโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมตามอายุขัย หรือการใช้งานข้อต่อกระดูกสันหลังมาก มาเป็นเวลานาน การลดการใช้งาน หลีกเลี่ยงท่าทางที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น งดการยืน หรือเดินเป็นเวลานาน ทำการฟื้นฟู รวมทั้งกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการปวด ปรับท่าทาง การใช้งานหลังให้ถูกต้อง และเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่สำคัญๆ ร่วมกับการรับประทานยาบางชนิด เป็นระยะเวลาหนึ่งตามคำแนะนำของแพทย์ จะทำให้อาการหายไปได้

ผักผลไม้บำรุงสายตา เล่นสล็อตสบาย ๆ ไม่มีพลาด พร้อมแนะนำเกมผลไม้ ที่ขนกันมาบำรุงทั้งสายตา บำรุงทั้งเป๋าตัง

ผักผลไม้บำรุงสายตา เล่นสล็อตสบาย ๆ ไม่มีพลาด พร้อมแนะนำเกมผลไม้ ที่ขนกันมาบำรุงทั้งสายตา บำรุงทั้งเป๋าตัง

ผักผลไม้บำรุงสายตา เล่นสล็อตสบาย ๆ ไม่มีพลาด พร้อมแนะนำเกมผลไม้ ที่ขนกันมาบำรุงทั้งสายตา บำรุงทั้งเป๋าตัง

ผักผลไม้บำรุงสายตา

ผักผลไม้บำรุงสายตา เล่นสล็อตสบาย ๆ ไม่มีพลาด พร้อมแนะนำเกมผลไม้ ที่ขนกันมาบำรุงทั้งสายตา บำรุงทั้งเป๋าตัง การเล่นเกมสล็อตออนไลน์ในแต่ละครั้ง ผู้เล่นก็คงเลี่ยงไม่ได้ กับการที่ต้องนั่งจ้องอยู่หน้าจอเป็นเวลานาน และเมื่อนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือ หน้าจอโทรศัพท์มือถือ เพื่อเล่นเกมกันเป็นเวลานาน ๆ ก็ทำให้สายตาของผู้เล่นนั้น มีอาการตาล้า หรือปวดตาได้ บางคนติดลมทำกำไรได้ดี จนต้องนั่งเล่นต่อเรื่อย ๆ ทำให้ต้องจ้องหน้าจอถึงดึกดื่น ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น อาจไม่ดีต่อสุขภาพดวงตาแน่ ๆ วันนี้ เราจะมาแนะนำผักและผลไม้บำรุงสายตา ให้ทุกท่านได้ทราบกัน จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย

กินผักและผลไม้บำรุงสายตา เล่นสล็อตสบาย ๆ ไม่มีพลาด พร้อมแนะนำเกมผลไม้ ที่ขนกันมาบำรุงทั้งสายตา บำรุงทั้งเป๋าตัง

1. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั้น เป็นกลุ่มผลไม้รสเปรี้ยวฉ่ำอมหวาน เป็นแหล่งของวิตามินซี อย่างดี เช่น โกจิเบอรี่, ราสเบอรี่, สตรอเบอรี่, แบล็กเบอรี่, มัลเบอรี่ เป็นต้น ซึ่งมีสารสำคัญอย่างสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงสายตาโดยตรงช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ดวงตาถูกทำลาย อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยง ในการเกิดความเสื่อมของจอประสาทตา และลดการเกิดต้อกระจกได้ดีมาก ๆ

2. ผักใบเขียว

ผักใบเขียว ที่ช่วยในการบำรุงสายตา ก็เช่น ผักบุ้ง, ตำลึง, กวางตุ้ง, คะน้า เป็นต้น ผักเหล่านี้ ล้วนอุดมไปด้วยสารสำคัญอย่างลูทีน และซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จากการศึกษาพบว่าช่วยลดความเสื่อมของจอประสาทตา และการเกิดต้อกระจกได้ จึงเป็นตัวช่วยอีกตัวหนึ่งที่สำคัญ ที่จะทำให้เหล่าผู้เล่นสล็อตตาไม่ล้าไม่เมื่อยได้ และเสริมสร้างการมองเห็นได้ดียิ่งขึ้น

3. แครอท

แครอท เป็นผักหัวใต้ดิน ที่มีคุณประโยชน์มาก ๆ แครอทนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงสายตาชั้นเยี่ยม ที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ และลูทีน ช่วยดูแลสุขภาพดวงตาของคุณ ให้สดใสแข็งแรงอยู่เสมอ ช่วยบำรุงกระจกตา และป้องกันไม่ให้เซลล์ดวงตาถูกทำลายจากแสงแดด แสงสีฟ้า จากการจ้องจอขณะเล่นสล็อตนาน ๆ ด้วย

4. ปลาที่มีไขมันสูง

จากการศึกษาทางการแพทย์ ทั้งในและต่างประเทศ พบว่า ปลาที่มีไขมันดีอยู่จำนวนมาก เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาสวาย เป็นต้น ปลาพวกนี้อุดมไปด้วยกรดไขมัน DHA ซึ่งเป็นกรดไขมัน ที่สามารถพบได้มาก ในเรตินาของดวงตา ดังนั้นมันจึงตรงเข้าไปซ่อมแซมดวงตาของเรา ให้สดใส มีน้ำหล่อลื่นเพียงพอทำให้เล่นไปนาน ๆ จะไม่แสบตา แม้ว่าจะเล่นสล็อต PG นาน ๆ ก็ตาม

เกมสล็อตผลไม้ จาก PG Slot เกม Fruits Bar บาร์ผลไม้

ผักผลไม้บำรุงสายตา เล่นสล็อตสบาย ๆ ไม่มีพลาด พร้อมแนะนำเกมผลไม้ ที่ขนกันมาบำรุงทั้งสายตา บำรุงทั้งเป๋าตัง

1. ธีมของเกมสล็อต PG Slot Fruits Bar
ธีมเกมนี้ เป็นธีมผลไม้ตามชื่อเกมเลย ซึ่งแน่นอนว่าเกมนี้ จะเกี่ยวข้องกับผลไม้ เป็นเกมสล็อตออนไลน์แนวผลไม้ สดใส ภาพ และกราฟฟิก ดูสบายตา เกมนี้จะเป็นสล็อตแบบ 4×4

2. อัตราการจ่ายเงินในเกม
– สัญลักษณ์ รูปเลม่อน สะสมครบ 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 และ 14-16 ตามลำดับ จะจ่าย 2, 4, 5, 8, 10, 20, 30,50, 100, 200 และ 400 ตามลำดับ
– สัญลักษณ์ รูปกีวี สะสมครบ 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 และ 14-16 ตามลำดับ จะจ่าย 4, 5, 10, 20, 30, 50, 100, 250, 500, 750 และ 800 ตามลำดับ
– สัญลักษณ์ รูปแก้วมังกร สะสมครบ 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 และ 14-16 ตามลำดับ จะจ่าย 5, 10, 20, 40, 80, 160, 500, 1K, 2K, 5K และ 6K ตามลำดับ
– สัญลักษณ์ รูปสับปะรด สะสมครบ 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 และ 14-16 ตามลำดับ จะจ่าย 10, 30, 50, 60, 100, 750, 1K, 10K, 20K, 50K และ 60K ตามลำดับ
– สัญลักษณ์ รูปแตงโม สะสมครบ 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 และ 14-16 ตามลำดับ จะจ่าย 20, 50, 100, 500, 1K, 2K, 5K, 20K, 50K, 60K และ 80K ตามลำดับ
– ฟีเจอร์การหมุนฟรี คือการได้สัญลักษณ์ฟรีเกม เพียงแค่ 1 ภาพ ก็จะได้รับการสุ่มจ่ายเงิน แบบตัวคูณตั้งแต่ 1-15 ทันที

Hifu กับ Botox ต่างกันอย่างไร อยากลดริ้วรอย ปรับหน้าเรียว ลดแก้มเหนียง เลือกทำแบบไหนถึงจะเห็นผล

Hifu กับ Botox ต่างกันอย่างไร อยากลดริ้วรอย ปรับหน้าเรียว ลดแก้มเหนียง เลือกทำแบบไหนถึงจะเห็นผล

Hifu กับ Botox ต่างกันอย่างไร อยากลดริ้วรอย ปรับหน้าเรียว ลดแก้มเหนียง เลือกทำแบบไหนถึงจะเห็นผล
Hifu กับ Botox ต่างกันอย่างไร อยากลดริ้วรอย ปรับหน้าเรียว ลดแก้มเหนียง เลือกทำแบบไหนถึงจะเห็นผล

Hifu กับ Botox

Hifu กับ Botox ยังคงเป็นหัตถการยอดนิยม และเป็นตัวเลือกแรก ๆ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอย และมีไขมันส่วนเกินบนใบหน้า เนื่องจากทั้งสองหัตถการนี้ ให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างจะคล้ายกัน แต่ก็ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง ทั้งในเรื่องของหลักการทำงาน , ข้อดี-ข้อเสีย รวมไปถึง ระยะเวลาที่เห็นผลและราคา

สำหรับคนที่มีข้อสงสัยว่า Hifu และ Botox ต่างกันอย่างไร สามารถทำพร้อมกันได้ไหม ระหว่าง Hifu และ Botox อันไหนดีกว่ากัน ในบทความนี้ เราจะมาให้คำตอบพร้อมให้คำแนะนำ เพื่อให้ทุกท่านสามารถนำไปพิจารณาในการตัดสินใจ

Hifu และ Botox ต่างกันอย่างไร อยากลดริ้วรอย ปรับหน้าเรียว ลดแก้มเหนียง เลือกทำแบบไหนถึงจะเห็นผล

Hifu กับ Botox ต่างกันอย่างไร อยากลดริ้วรอย ปรับหน้าเรียว ลดแก้มเหนียง เลือกทำแบบไหนถึงจะเห็นผล
Hifu กับ Botox ต่างกันอย่างไร อยากลดริ้วรอย ปรับหน้าเรียว ลดแก้มเหนียง เลือกทำแบบไหนถึงจะเห็นผล

ความต่างระหว่าง Hifu และ Botox

  1. Hifu คือ เครื่องมือยกกระชับผิว ที่สามารถใช้ได้ ทั้งที่บริเวณใบหน้า เหนียง คอ ต้นแขน และต้นขา จะช่วยเพิ่มความกระชับให้ผิวหน้า และลดสัดส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวหน้ายืดหยุ่นมากขึ้น จึงช่วยลดริ้วรอย กระชับรูขุมขน ปรับผิวหน้าให้เรียบเนียนขึ้น และดูสดใสอย่างเป็นธรรมชาติ

ซึ่ง Hifu มีหลักการทำงาน โดยการปล่อยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ส่งลงไปในชั้นผิวหนัง Superficial Muscular Aponeurotic System ซึ่งจะเป็นพลังงานคงที่ มีจุดขนาด 0.5 mm.- 1 mm. ที่มีลักษณะคล้ายจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรงใต้ผิว ทำให้ชั้นไขมัน และชั้น SMAS เกิดการหดตัวลง โดยใช้ความร้อนลงใต้ผิว 60°C-70°C ไม่ทำให้ผิวชั้นบนร้อน ไม่ทำให้เกิดผิวไหม้ หลักการคล้าย ๆ กับเนื้อที่เราวางลงบนกระทะร้อนๆ เนื้อจะหดนั่นเอง

  1. Botox คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า “Botulinum Toxin A” เมื่อฉีดโบท็อกเข้าไปแล้ว ตัวยาจะออกฤทธิ์ โดยจะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานได้ลดลงชั่วคราว ช่วยลดริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียว เห็นกรอบหน้าชัด คนที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อ ก็สามารถฉีดโบท็อก เพื่อให้กรามเล็กลง ให้หน้าดูเรียวขึ้นได้

ซึ่งหลักการทำงานของ Botox คือ เมื่อฉีดโบท็อกเข้าไปบริเวณกล้ามเนื้อ ตัวยาจะออกฤทธิ์จับกับปลายประสาท และทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาท มายังกล้ามเนื้อได้ จึงทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเป็นอัมพาตชั่วคราว กล้ามเนื้อผ่อนคลายลง ริ้วรอยต่างๆ ก็ดูจางลง

Hifu และ Botox อันไหนดีกว่ากัน
  1. ข้อดีของ Hifu คือ เหมาะกับคนที่กลัวเข็ม มีริ้วรอยน้อย ไม่ลึกมาก สามารถทำได้บ่อยครั้ง หลังทำ Hifu แล้ว สามารถกลับไปทำกิจกรรมอื่นๆ ตามปกติได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลหลังทำทันทีประมาณ 20% และเห็นผลเต็มที่ใน 3-4 เดือน

การทำ Hifu ผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 5-6 เดือน และสามารถมีระยะเวลาถึง 1 ปี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคนไข้สามารถทนเจ็บได้หรือไม่ รวมไปถึงการดูแลหลังทำ Hifu ด้วยครับ หากต้องการให้ผิวกระชับขึ้น ก็สามารถทำ Hifu เพิ่มได้ในทุกๆ 3 เดือน

  1. ข้อดีของ Botox คือ ช่วยลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น และปรับรูปหน้าที่ได้ผลชัดเจน โดยไม่ต้องผ่าตัดใด ๆ ใช้เวลาในการทำไม่นาน ซึ่งโบท็อกแท้ที่ได้มาตรฐาน สามารถสลายเองได้ 100% ไม่มีสารตกค้าง มีความปลอดภัยสูง โดยโบท็อกลดริ้วรอย จะเริ่มเห็นผลภายใน 3-7 วัน ส่วนโบท็อกลดกราม จะเริ่มเห็นผลภายใน 1-2 เดือน หลังฉีดแล้ว ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณโบท็อกที่ฉีด ตำแหน่งที่ฉีด ความลึกของริ้วรอยเหี่ยวย่น และปริมาณของกล้ามเนื้อ
Hifu และ Botox ควรทำอันไหนก่อน

การเรียงลำดับหัตถการนั้น อยู่ที่ดุลยพินิจของแพทย์แต่ละที่ เนื่องจาก Hifu และ Botox มีหลักการทำงาน และเหมาะกับปัญหาที่แตกต่างกันออกไป เช่น คนที่มีกรามใหญ่ ต้องการลดกรามเพื่อปรับหน้าให้ดูเรียว หมอจะแนะนำให้ฉีดโบท็อก เพื่อลดกรามก่อน แล้วค่อยใช้ Hifu ในการยกกระชับกรอบหน้าขึ้น เก็บริ้วรอยเล็ก ๆ เพื่อเสริมผลลัพธ์ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

Hifu และ Botox ทำพร้อมกันได้ไหม

หากคนไข้ที่ไม่ได้มีปัญหาใบหน้ามาก และต้องการจะทำพร้อมกันทั้ง 2 หัตถการ ก็สามารถทำได้ครับ แต่ในเคสที่ต้องการลดกราม ปรับให้หน้าเรียว หมอจะแนะนำให้ฉีดโบท็อกก่อน จากนั้นเว้นช่วงไป 14 วัน เพื่อให้โบท็อกออกฤทธิ์ แล้วกลับมาทำ Hifu เพื่อช่วยยกกระชับใบหน้าได้

ครีมกันแดด เลือกใช้อย่างไรให้ปกป้องผิวได้ดี และมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ครีมกันแดด เลือกใช้อย่างไรให้ปกป้องผิวได้ดี และมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ครีมกันแดด เลือกใช้อย่างไรให้ปกป้องผิวได้ดี และมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ครีมกันแดด

ครีมกันแดด (Sunscreen) คือ สารที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวี (Ultraviolet Radiation: UV) โดยจะช่วยให้ผิวไม่ถูกแสงแดด ทำลายจนไหม้ หรือเกิดจุดด่างดำต่าง ๆ ที่ผิว รวมทั้งลดโอกาสเสี่ยง ที่จะเป็นมะเร็งผิวหนัง ส่วนผสมที่อยู่ในครีมป้องกันแสงแดดนั้น จะช่วยปกป้องผิวด้วยวิธีต่าง ๆ ทั้งดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลต ปกป้องชั้นผิวที่อยู่ลึก หรือสะท้อนรังสียูวีกลับออกไป ทั้งนี้ ครีมป้องกันแสงแดด ก็มีให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบ ได้แก่ โลชั่น ครีม ขี้ผึ้ง หรือสเปรย์ เป็นต้น

เลือกใช้อย่างไรให้ปกป้องผิวได้ดี และมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ครีมกันแดด เลือกใช้อย่างไรให้ปกป้องผิวได้ดี และมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ประเภทของครีมป้องกันแสงแดด

  1. ประเภทตามกลไกการป้องกันแสงแดด
  • สารกันแดดแบบเคมี ครีมประเภทนี้ จะปกป้องผิวจากแสงแดด โดยการใช้สารเคมี ที่มีคุณสมบัติดูดซับแสงแดด ที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีบนผิวหนังของเรา สารกันแดดชนิดนี้ จะมีประสิทธิภาพต่างกันไป ตามชนิดของสารกรองแสง ที่ช่วยป้องกันรังสียูวีเอ และรังสียูวีบี ทั้งนี้ สารกันแดดแบบเคมี มักจะไม่คงทน รวมทั้งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวได้
  • สารกันแดดแบบกายภาพ ครีมป้องกันแสงแดด ที่ผสมสารกันแดดแบบกายภาพ จะปกป้องผิวจากแสงแดด โดยใช้สารเคมีที่มีคุณสมบัติ ที่สะท้อนรังสีจากแสงแดดออกไป สารกันแดดชนิดนี้ จะป้องกันได้ทั้งรังสียูวีเอและรังสียูวีบี ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีกับผิวหนัง แต่อย่างไรก็ตาม สารกันแดดแบบกายภาพ จะมีเนื้อครีมที่ค่อนข้างข้น และเหนียวเหนอะหนะ

2. ประเภทตามบริเวณที่ใช้ทา

  • แบบครีม เหมาะจะใช้ทาบริเวณใบหน้า และผู้ที่มีผิวที่แห้ง
  • แบบเจล เหมาะสำหรับทาบริเวณที่มีขึ้นขน เช่น หนังศีรษะ หรือช่วงหน้าอกของผู้ชาย
  • แบบแท่ง อาจผสมสารกันแดดร่วมด้วย ซึ่งเหมาะจะใช้ทาบริเวณที่อยู่รอบดวงตา
  • แบบสเปรย์ สารกันแดดในรูปแบบสเปรย์นั้น อาจนำมาใช้ทากันแดดให้แก่เด็ก เนื่องจากทาได้ง่าย โดยควรทาสารกันแดด เพื่อปกป้องผิวในปริมาณที่เพียงพอ พอเหมาะ และไม่ควรสูดดม หรือฉีดสเปรย์ใกล้วัตถุที่ไวไฟ หรือใช้ขณะที่สูบบุหรี่

วิธีเลือกซื้อครีมป้องกันแสงแดดอย่างถูกต้อง

  1. เลือกครีมป้องกันแสงแดด ที่ปกป้องผิวได้อย่างครอบคลุม ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ และรังสียูวีบี เนื่องจากครีมกัน แดดทุกตัวนั้น จะช่วยป้องกันรังสียูวีบี ซึ่งเป็นรังสีที่ทำให้ผิวไหม้ และอาจเป็นมะเร็งผิวหนัง ครีม กันแดดหรือผลิตภัณฑ์ป้องกันแดดอื่น ๆ ที่ป้องกัน ทั้งรังสียูวีเอและยูวีบี จะได้รับการระบุอยู่บนฉลากผลิตภัณฑ์ว่า Broad-Spectrum ส่วนครีมป้องกันแสงแดด หรือผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด ที่ไม่ได้รับการระบุดังกล่าว จะป้องกันผิวไหม้ แต่ว่าจะไม่ครอบคลุมการป้องกันมะเร็งผิวหนัง และผิวแก่ก่อนวัย
  2. ควรเลือกครีมป้องกันแสงแดดที่มีค่า SPF 30 หรือมากกว่านั้น โดยค่า SPF จะช่วยบอกระดับการป้องกันผิวจากรังสียูวีบี ครีมป้องกันแสงแดดที่มีค่าดังกล่าวสูง ก็จะปกป้องผิวจากแสงแดดได้มาก โดยครีมป้องกันแสงแดดที่มีค่า SPF 15 จะกรองรังสียูวีบีได้ร้อยละ 93 ครีมป้องกันแสงแดดที่มีค่า 30 จะกรองได้ร้อยละ 97 และครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 กรองได้ร้อยละ 98 ส่วนครีมป้องกันแสงแดดที่มีค่า SPFต่ำกว่า 15 สามารถป้องกันผิวไหม้ได้ แต่ไม่ป้องกันมะเร็งผิวหนัง หรือแก่กว่าวัย
  3. เลือกครีมป้องกันแสงแดดกันน้ำได้ (Water Resistant) โดยครีมชนิดนี้จะช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ระหว่างที่ว่ายน้ำหรือเหงื่อออกได้นานประมาณ 40-80 นาที ผู้ใช้ควรทาครีมซ้ำอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น

วิธีใช้ครีมป้องกันแสงแดดอย่างถูกต้อง

  1. ควรทาครีม ก่อนออกแดดประมาณ 15-30 นาที
  2. ควรลงครีมก่อนแต่งหน้า โดยใช้ครีมในปริมาณ 1 ออนซ์ หรือ 2 ช้อนโต๊ะ ทาให้ทั่วตัว ควรทาให้เนื้อครีมซึมซาบสู่ผิวทั้งหมด
  3. ควรทาครีมที่หู เท้า ด้านหลังขา หรือบริเวณที่อาจลืมทาได้ง่าย
  4. ควรทาลิปบาล์มที่มีค่าป้องกันแสงแดด 30 เพื่อปกป้องริมฝีปากจากรังสียูวีด้วย
  5. ควรทากันแดดชนิดกันน้ำ ทุกครั้งก่อนว่ายน้ำ และควรทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง หรือหลังจากว่ายน้ำ หรือมีเหงื่อออก
  6. ไม่ใช้ครีมที่หมดอายุ เนื่องจากจะเสื่อมประสิทธิภาพ รวมทั้งไม่ใช้ครีมที่ซื้อทิ้งไว้ 3 ปีหรือนานกว่านั้น
  7. ไม่ควรทาครีมป้องกันแสงแดดให้แก่เด็กที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน โดยดูแลเด็กไม่ให้โดนแสงแดดมากเกินไป และควรสวมเสื้อผ้าที่ปกป้องผิวของเด็กจากแสงแดดได้