หมวดหมู่: Health & Fitness

ติดโควิด-19 เกิดจากปัจจัยอะไร ทำไมบางคนติดง่าย แต่บางคนไม่ติดเลย

ติดโควิด-19 เกิดจากปัจจัยอะไร ทำไมบางคนติดง่าย แต่บางคนไม่ติดเลย

ติดโควิด-19

ติดโควิด-19 เกิดจากปัจจัยอะไร ทำไมบางคนติดง่าย แต่บางคนไม่ติดเลย

ติดโควิด-19 เหตุใดบางคนจึงติดเชื้อโควิด-19 เหตุใดบางคนจึงไม่ติด ทั้งๆ ที่พวกเขาอาจจะสัมผัสเชื้อไวรัสโควิดในจำนวนเท่า ๆ กัน ก็ตาม คำถามที่บางที คุณก็อาจกำลังสงสัยอยู่ใช่หรือไม่ ในวันนี้ เราลองไปอ่านความเห็นของบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่พยายามค้นหา คำตอบในเรื่องนี้กันดูว่า มันอาจจะเกิดขึ้นกันแน่ มันมาจากปัจจัยใดได้บ้าง และจนถึงปัจจุบันมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด

ปัจจัยที่อาจส่งผลให้บางคนติดโควิดยาก หรือบางคนไม่ติดเลย

ติดโควิด-19 เกิดจากปัจจัยอะไร ทำไมบางคนติดง่าย แต่บางคนไม่ติดเลย

ทีเซลล์ (T-cells)

เมื่อเดือนมกราคม 2565 ที่ผ่านมา งานวิจัยล่าสุด ที่ถูกตีพิมพ์ จาก อิมพีเรียล คอลเลจ ในประเทศอังกฤษ ระบุว่า การสัมผัสกับไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นไวรัสที่เป็นสาเหตุ ที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ไม่ได้ทำให้เกิดการติดเชื้อได้เสมอไป

โดยเฉพาะกับคนบางส่วนที่มี ทีเซลล์ (T-cells) ในระดับสูง หลังติดเชื้อไข้หวัดธรรมดาก่อนหน้านี้ กลับมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ที่แข็งแกร่ง จนกระทั่ง แม้ว่าจะได้สัมผัสกับไวรัส SARS-CoV-2 แต่กลับไม่ได้ติดเชื้อเลย อย่างไรก็ดี ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า กลุ่มบุคคลเหล่านี้นั้น สามารถหลีกเลี่ยงไวรัสได้อย่างสมบูรณ์ หรือว่า เป็นเพราะสามารถกำจัดไวรัสได้ ตามกลไกธรรมชาติ ก่อนที่จะตรวจพบด้วยวิธีการตรวจหาเชื้อหรือไม่

แต่ถึงแม้ว่าการค้นพบในครั้งนี้ จะถือเป็นหนึ่งในการค้นพบที่สำคัญ แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ก็ยังคงยืนยันว่า มันเป็นเพียงหนึ่งในรูปแบบของกลไกการป้องกันของร่างกายเท่านั้น และวิธีการที่ดีที่สุด จากการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในเวลานี้ ก็ยังคงเป็นการเข้ารับการฉีดวัคซีนครบสูตร รวมถึงวัคซีนเข็มกระตุ้น

พันธุกรรม

อีกหนึ่งคำถามสำคัญ ที่เกิดขึ้น ในช่วงระหว่างการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 เหตุใดคนสองคน ที่ติดเชื้อโควิดเหมือนกัน จึงมีการตอบสนอง ต่อการติดเชื้อที่แตกต่างกันมาก โดยคนหนึ่งอาจพบว่ามีอาการป่วยหนัก ในขณะที่อีกคนกลับไม่แสดงอาการป่วยใด ๆ เลยทั้งสิ้น

โดย ศจ.แดนนี อัลแมน (Danny Altmann) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภูมิคุ้มกันวิทยา อิมพีเรียล คอลเลจ ในลอนดอน เปิดเผยว่า งานวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ ระหว่างพันธุกรรมกับระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ และการติดเชื้อโควิด ซึ่งกำลังจะมีการเผยแพร่ในเร็ว ๆ นี้ พบว่า รูปแบบของระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์นั้น สามารถสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นได้

โดยการวิจัย มุ่งเน้นไปที่ Human leukocyte antigen หรือ HLA ซึ่งเป็นแอนติเจน ที่สามารถพบได้บนผิวเซลล์ของเม็ดเลือดขาว และเนื้อเยื่ออื่นๆ ของร่างกาย ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการกระตุ้น ให้เกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย และพบว่า HLA บางชนิดมีแนวโน้มว่า จะมีการติดเชื้อโควิด แบบแสดงอาการอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่มียีน HLA-DRB1*1302

วัคซีนต้านโควิด-19

วัคซีนต้านโควิดนั้น ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีประสิทธิภาพในการลดการติดเชื้อที่รุนแรง ลดการเข้ารับการรักษาตัว ในโรงพยาบาล รวมถึงลดการเสียชีวิตได้มากขึ้น ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีวัคซีนชนิดใด ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้มากถึง 100% ก็ตาม

อย่างไรก็ดี ข้อมูลที่มีอยู่จนถึง ณ ตอนนี้ คือ แม้ว่าจะมีบางคนที่ฉีดวัคซีนครบสูตร หรือ วัคซีนเข้มกระตุ้นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังสามารถติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนได้ (ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรงนัก) แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่ง ที่มีการตอบสนองด้านภูมิคุ้มกัน ที่แตกต่างออกไปอีก ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้นั้น จะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาวัคซีนในอนาคต

ติดโควิด-19 ผลการทดลอง และวิจัยล่าสุดพบอะไรเพิ่มเติม

การทดลองและวิจัยล่าสุดของ อิมพีเรียล คอลเลจ ร่วมกับศูนย์วิจัยอื่น ๆ ในประเทศอังกฤษ ซึ่งได้มีการนำอาสาสมัครวัยหนุ่มสาวที่มีสุขภาพดี รวมทั้งหมด 36 คน มาทำการทดสอบด้วยการให้ได้รับเชื้อโควิด ในระดับต่ำ ด้วยวิธีการแหย่เข้ารูจมูก จากนั้น อาสาสมัครทุกคน จะอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ และการควบคุมภายใต้สภาวะแวดล้อม ที่มีการควบคุมที่ดี ภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าอาสาสมัคร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ติดเชื้อ ในขณะที่อีก 50% ไม่ติดเชื้อ โดยอาสาสมัคร 18 คนที่มีการติดเชื้อ จะมีจำนวน 16 คน ที่พบว่ามีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย คล้ายอาการเป็นหวัด เช่น อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล การไอ จาม และเจ็บคอ

นอกจากนี้แล้ว ยังได้รับข้อมูลสำคัญเรื่อง ระยะฟักตัว โดยทั้ง 18 คน มีเวลาเฉลี่ยตั้งแต่ เริ่มสัมผัสไวรัสในครั้งแรก จนถึงการตรวจพบไวรัส และจะมีอาการในระยะแรกเริ่ม ประมาณ 42 ชั่วโมง ซึ่งสั้นกว่าการประมาณการค่าเฉลี่ยก่อนหน้านี้ ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 5-6 วัน และจากการตรวจหา ปริมาณเชื้อไวรัส ภายในจมูกและคอ ของอาสาสมัครที่ติดเชื้อ ยังพบว่า ค่าเฉลี่ยปริมาณของเชื้อไวรัส ที่พบสูงสุด จะอยู่ที่ช่วงเวลาประมาณ 5 วันหลังการติดเชื้อ ในขณะที่บางคนนั้น อาจพบปริมาณเชื้อสูงสุด ในวันที่ 9-12

อาการของตามัว สัญญาณบ่งบอกที่ควรพบแพทย์ การรักษาอาการ และวิธีป้องกันที่ควรรู้

อาการของตามัว สัญญาณบ่งบอกที่ควรพบแพทย์ การรักษาอาการ และวิธีป้องกันที่ควรรู้

อาการของตามัว

อาการของตามัว สัญญาณบ่งบอกที่ควรพบแพทย์ การรักษาอาการ และวิธีป้องกันที่ควรรู้

อาการของตามัว อาจส่งผลต่อการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมด เช่น หากกระทบต่อสายตาส่วนรอบ ๆ ก็จะทำให้การมองเห็นบริเวณรอบๆ ข้าง พร่ามัวได้ ซึ่งอาจมีอาการต่าง ๆ แตกต่างกันไป และสาเหตุจะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย

ตามัว สัญญาณบ่งบอกที่ควรพบแพทย์ การรักษาอาการ และวิธีป้องกันที่ควรรู้

อาการของตามัว สัญญาณบ่งบอกที่ควรพบแพทย์ การรักษาอาการ และวิธีป้องกันที่ควรรู้

สาเหตุ

  • มีขี้ตา มีน้ำตาเยอะ หรืออาจมีเลือดออกจากดวงตา
  • ตาแห้ง มีอาการคันตา หรือเจ็บตา
  • มองเห็นจุด หรือมีเส้นใยบาง ๆ ในดวงตา
  • เส้นเลือดฝอยในดวงตาแตกก
  • ตากลัวแสง หรือไม่สู้แสง
  • มองเห็นไม่ชัดเจนในระยะใกล้ หรือในเวลากลางคืน
  • สายตาส่วนกลาง หรือสายตาส่วนรอบ ๆ มีการเสียหาย
  • กระจกตาถลอก หรือมีรอยแผลเป็นบนกระจกตา
  • จอประสาทตาติดเชื้อ
  • โรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อจอประสาท ซึ่งทำให้ความสามารถ ในการมองเห็น การตอบสนองต่อแสงลดลง และผู้ป่วยจะค่อย ๆ สูญเสียการมองเห็น จนอาจจะทำให้ตาบอดได้
  • ภาวะสายตายาวตามอายุ ที่ส่งผลให้ความสามารถในการโฟกัสลดลง
  • โรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ คือสาเหตุทั่วไปของผู้สูงอายุ โดยเกิดจากการเสื่อมของจุดรับภาพ ในบริเวณส่วนกลาง และจอประสาทตาที่จุดกึ่งกลางของกระจกตา
  • การใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่สะอาด หรือเสียหายอาจทำให้เกิดอาการตามัวได้
  • โรคต้อหิน มีแรงดันในดวงตาที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เส้นประสาทของตาเสียหาย และก่อให้เกิดโรคต้อหินได้
  • โรคต้อกระจกตาอาจส่งผลให้เลนส์ตาขุ่นมัวได้
  • โรคไมเกรน ผู้ป่วยบางคน อาจมีอาการตามัว ก่อนที่จะมีอาการไมเกรนจะเริ่มต้นขึ้น
  • ภาวะเบาหวานขึ้นตา ผู้ป่วยเบาหวานอาจจะมีอาการตามัวได้หากระดับน้ำตาลไม่คงที่
  • อาหารเสริม หรือยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิด, คอร์ติโซน, ยารักษาโรคหัวใจ, ยากลุ่ม Anticholinergics} ยาต้านภาวะซึมเศร้า, หรือพวกยาลดความดัน เป็นต้น

สัญญาณที่ควรพบแพทย์

  • เจ็บตามาก ๆ
  • บริเวณตาขาวเริ่มจะเป็นสีแดง
  • ปวดศีรษะมาก ๆ
  • ใบหน้ามีลักษณะบิดเบี้ยว
  • พูดลำบากหรือพูดติดขัด
  • ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อข้างใดข้างหนึ่งของหน้าได้
  • มีปัญหาในการมองเห็น หรืออาจสูญเสียการมองเห็นในบางส่วน หรือทั้งหมดชั่วคราว

การรักษาอาการตามัว

  • การสวมแว่นตา ผู้ป่วยบางรายอาจต้องใส่แว่นตา เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น
  • การรักษาแบบโมโนวิชั่น หรือเบลนด์วิชั่น ความสามารถในการมองเห็นของดวงตาทั้ง 2 ข้าง มักมีความแตกต่าง และเสื่อมโทรมตามระยะเวลาที่ต่างกัน ผู้ป่วยอาจจะเลือกใส่คอนแทคเลนส์ ที่มีค่าสายตาต่างกัน เพื่อช่วยให้ประสาทตา สามารถปรับระยะการโฟกัส ของการมองเห็น ทั้งในระยะใกล้และไกลได้
  • เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด อาการตามัวนั้น อาจเกิดขึ้นจากระดับน้ำตาลลดลง ผู้ป่วยจึงอาจจะต้องรับประทานอาหาร ที่มีส่วนประกอบของน้ำตาล ที่ออกฤทธิ์รวดเร็ว เช่น ลูกอม น้ำผลไม้ เป็นต้น
  • การผ่าตัด หากอาการตามัว ที่เกิดจากโรคต้อกระจก การผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนเลนส์ตาก็อาจมีความจำเป็น

การป้องกันอาการตามัว

  • การป้องกันอาการตามัว
  • ให้สวมแว่นกันแดดตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่แจ้ง หรือแว่นตาป้องกัน ขณะทำงานในบริเวณที่มีสารเคมี หรือฝุ่นละอองมาก
  • เลือกรับประทานอาหาร ที่มีประโยชน์ต่อดวงตา เช่น พวกผักใบเขียว ผักสีม่วง หรือเนื้อปลา ที่มีส่วนประกอบของโอเมก้า 3
  • งดการสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
  • ล้างมือให้สะอาด ก่อนการใส่หรือถอดคอนแทคเลนส์ทุกครั้ง เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อ และทำความสะอาดแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อยู่เสมอ เนื่องจากคราบไขมัน หรือสิ่งสกปรก แปลกปลอม อาจเกาะอยู่บนเลนส์ และทำให้เกิดอาการตามัวได้ ทั้งยังควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับน้ำยาแช่ หรือน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมกับเลนส์แต่ละประเภท
  • กรณีที่เข้ารับการตรวจตา และไม่พบความผิดปกติใด ๆ ผู้ป่วยอาจใช้ยาหยอดตาเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้กับดวงตาได้ โดยควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเพื่อความปลอดภัยเสมอ
  • ตรวจตาเป็นประจำ จะช่วยป้องกันปัญหาความผิดปกติของดวงตาที่อาจเกิดขึ้น
โรคอัลไซเมอร์ โรคที่ไม่เจ็บป่วยทางกาย แต่ส่งผลต่อการเจ็บปวดทางใจของคนใกล้ชิด มาเช็กอาการกันเถอะ ก่อนจะสายเกินไป

โรคอัลไซเมอร์ โรคที่ไม่เจ็บป่วยทางกาย แต่ส่งผลต่อการเจ็บปวดทางใจของคนใกล้ชิด มาเช็กอาการกันเถอะ ก่อนจะสายเกินไป

โรคอัลไซเมอร์

โรคอัลไซเมอร์ โรคที่ไม่เจ็บป่วยทางกาย แต่ส่งผลต่อการเจ็บปวดทางใจของคนใกล้ชิด มาเช็กอาการกันเถอะ ก่อนจะสายเกินไป

โรคอัลไซเมอร์ โรคที่ไม่เจ็บป่วยทางกาย แต่ส่งผลต่อการเจ็บปวดทางใจของคนใกล้ชิด มาเช็กอาการกันเถอะ ก่อนจะสายเกินไป โรคอัลไซเมอร์ หรือ Alzheimer เป็นหนึ่งโรค ที่เกิดจากทำงานของสมองที่เสื่อมสภาพ มักพบได้บ่อยในผู้สูงวัย ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป แต่ก่อนที่ผู้ป่วยจะเป็นอัลไซเมอร์ จะแสดงอาการอัลไซเมอร์มาระยะหนึ่งแล้ว ความทรงจำจะค่อย ๆ เลือนลาง ทำให้เซลล์สมองเสื่อม สมองฝ่อ คนที่อยู่ใกล้ชิดจะต้องดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง และใกล้ชิด ซึ่งโรคนี้จะเป็นโรคที่ หากเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวแล้ว คงจะแอบเสียใจอยู่ไม่ใช่น้อย หากวันนึง คนที่รักมากที่สุด จำเราไม่ได้ มาเช็กกันเถอะ ว่าคนรอบตัวหรือแม้กระทั่งคุณเอง มีอาการเหล่านี้หรือไม่

อัลไซเมอร์ โรคที่ไม่เจ็บป่วยทางกาย แต่ส่งผลต่อการเจ็บปวดทางใจของคนใกล้ชิด มาเช็กอาการกันเถอะ ก่อนจะสายเกินไป

โรคอัลไซเมอร์ โรคที่ไม่เจ็บป่วยทางกาย แต่ส่งผลต่อการเจ็บปวดทางใจของคนใกล้ชิด มาเช็กอาการกันเถอะ ก่อนจะสายเกินไป

อัลไซเมอร์ เกิดจากอะไร

– อายุที่มากขึ้น ก็เสี่ยงเป็นอัลไซเมอร์ได้ง่าย โดยพบในวัยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และกลุ่มผู้ที่มีอายุ 85 ปีขึ้นไป พบได้มากถึง 40-50 % เลยทีเดียว
– ส่งต่อทางพันธุกรรม อัลไซเมอร์สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ค่อนข้างน้อย
– ภาวะสมองเสื่อม เกิดจากการทำงานของสมอง ที่สะสมสารเบต้าอมีลอยด์ ที่ทำลายเซลล์สมอง จนทำให้ความทรงจำถดถอยลง
– การสะสมของโปรตีนบางชนิดที่มากกว่าปกติ เช่น อะไมลอยด์ (amyloid) และ ทาว (tau)
– ภาวะโรคแทรกซ้อน ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง โรคพาร์กินสัน โรคดาวน์ซินโดรม โรคเนื้องอกสมอง โพรงน้ำในสมองขยายตัว โรคขาดฮาร์โมนต่อมไทรอยด์ หรือโรคติดเชื้อบางชนิด เช่น ชิฟิลิสและเอดส์ เป็นต้น

อาการอัลไซเมอร์ ไม่ใช่แค่หลงลืม

อัลไซเมอร์ อาการทั่วไปแบ่งได้ 3 ระยะ ได้แก่
ระยะแรก ที่ผู้ป่วยนั้น เริ่มมีความทรงจำที่ถดถอยลง ชอบพูดซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ สับสับทิศทาง อาร์มเสียง่าย และซึมเศร้า
ระยะที่สอง ผู้ป่วยจะมีอาการที่ชัดเจนขึ้น ความจำแย่ลง หงุดหงิดง่าย
ระยะที่สาม เป็นระยะที่รุนแรงมาก ผู้ป่วยไม่สามารถตอบสนอง ต่อคนรอบข้างได้ ใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้เหมือนแต่ก่อน เคลื่อนไหวและทานข้าวเองไม่ค่อยได้ หรืออาจกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด

อาการที่บ่งบอกอื่น ๆ อีก มีดังต่อไปนี้

1. อาการหลง ๆ ลืม ๆ
เป็นอาการที่พบได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มต้น เช่น จำไม่ได้ว่าวางของไว้ที่ไหน หลงทิศทาง ทั้งที่เคยไปมาก่อน ถ้าเป็นระยะที่มีความรุนแรงขึ้น จะไม่สามารถจำคนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งลืมชื่อของตนเอง

2. สับสนเรื่องเวลา สถานที่ ฤดูกาล
ผู้ป่วย มักใช้ชีวิตประจำวันไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้เรื่องของเวลา สถานที่ และฤดูกาล เพราะการทำงานของสมองนั้น เริ่มถดถอยลง

3. ทำอะไรซ้ำ ๆ พูดเรื่องเดิม ๆ
มีปัญหาในการสื่อสาร เช่น ลืมบทสนทนา การตอบไม่ตรงคำถาม หรือชอบทำอะไรซ้ำ ๆ พูดแต่เรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ วกวนไปมา คนใกล้ตัวจะสังเกตอาการของผู้ป่วยได้ชัดเจน

4. หงุดหงิด และโมโหง่าย
อาการแปรปรวนง่าย ชอบหงุดหงิด โมโห และก้าวร้าว บางครั้งก็พูดจาหยาบคาย จนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ บางครั้งก็รู้สึกกระวนกระวาย และมีอาการวิตกกังวลร่วมด้วย

5. มีอาการซึมเศร้า
เป็นหนึ่งในอาการอัลไซเมอร์ ที่พบได้บ่อยที่สุด คือผู้ป่วยจะมีอาการซึมเศร้า รู้สึกว้าเหว่ รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ถูกทอดทิ้ง และไม่มีใครคอยสนทนา ก็ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมได้ง่าย

6. ดูแลตัวเองไม่ได้
ถ้าผู้ป่วยอยู่ในระยะรุนแรง จะไม่สามารถดูแลตัวเอง หรือใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เช่น ทานอาหารไม่ได้ เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องให้คนคอยช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดอยู่ตลอด

7. อ่อนแรง กล้ามเนื้อสั่น
โดยจะพบอาการอ่อนแรง แขนขาชา กล้ามเนื้อสั่น บางรายก็ป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน กล้ามเนื้อ และระบบประสาททำงานไม่ประสานกัน

8. นอนไม่ค่อยหลับ
บางรายก็มีปัญหาเรื่องของการนอน เช่น การนอนไม่หลับ การนอนไม่เต็มอิ่ม เพราะผู้ป่วยอัลไซเมอร์ส่วนใหญ่ มักจะมีอาการวิตกกังวล ทำให้นอนหลับได้ยาก

9. มีอาการประสาทหลอน
ส่วนใหญ่จะพบในผู้ป่วยระยะที่สาม ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

วิธีการรักษาโรคอัลไซเมอร์

1. การรักษาด้วยการใช้ยา
เป็นการใช้ยา เพื่อช่วยควบคุมอาการ ยับยั้งเอนไซม์ ที่ทำลายระบบประสาทอะซีติลโคลีน เพิ่มหรือปรับระดับของสารแอซิติลโคลีน เพื่อไม่ให้ลดลงเกินไป หรือแพทย์อาจจะให้ยาทางจิตเวช ควบคู่ไปด้วยสำหรับผู้ป่วยบางราย

2. การรักษาด้วยการฟื้นฟูสมอง
ทำได้ด้วยการออกกำลังกายเบา ๆ การอ่านหนังสือ เล่นเกมที่ฝึกใช้สมอง พบปะผู้คน ฝึกพูด หรือสนทนากับคนรอบข้าง เพื่อฟื้นฟูความทรงจำ ฝึกการเคลื่อนไหวของร่างกาย ปรับการนอนหลับให้เพียงพอ ฝึกการทานอาหารด้วยตัวเอง รวมถึงดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ อย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน เพราะการดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยให้สมองสดชื่น เลือดไหลเวียนดีขึ้น

พัฒนาตัวเอง เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง เพียงแค่คิดคำถามเดียว ตอบคำถามตัวเองให้ได้ ว่าเราต้องการอะไร

พัฒนาตัวเอง เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง เพียงแค่คิดคำถามเดียว ตอบคำถามตัวเองให้ได้ ว่าเราต้องการอะไร

พัฒนาตัวเอง

พัฒนาตัวเอง เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง เพียงแค่คิดคำถามเดียว ตอบคำถามตัวเองให้ได้ ว่าเราต้องการอะไร

พัฒนาตัวเอง เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง เพียงแค่คิดคำถามเดียว ตอบคำถามตัวเองให้ได้ ว่าเราต้องการอะไร ซึ่งการพัฒนาตนเอง หรือการใช้ชีวิต ให้มีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งที่หลายคน อยากทำได้ แต่มันไม่ง่ายเลย และมักจะมีหลายขั้นตอน ต้องปรับปรุงชีวิต ในหลาย ๆ ด้าน ทั้งหาเป้าหมายชีวิต ทั้งปรับอุปนิสัย แต่มันก็คุ้มค่า ถ้าเราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้

เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง เพียงแค่คิดคำถามเดียว ตอบคำถามตัวเองให้ได้ ว่าเราต้องการอะไร

พัฒนาตัวเอง เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง เพียงแค่คิดคำถามเดียว ตอบคำถามตัวเองให้ได้ ว่าเราต้องการอะไร

ความไม่ง่ายที่เราต้องทั้งขยัน ทั้งมีวินัย รวมถึงต้องพยายามเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง ที่บางที ก็ทำให้หลงเข้าใจ อะไรผิด ๆ ไป เหตุเพราะปัจจัยมันซับซ้อนเกินไป ไม่นับรวมไปถึงการศึกษาเรื่องพวกนี้ กับคนผิด วิธีที่ผิด ๆ ที่ทำให้สุดท้าย นอกจากชีวิตเราไม่พัฒนา ไม่ก้าวหน้าไปไหน อาจกลายเป็นถอยหลังไปแทนด้วยซ้ำ

เหตุนี้ เพื่อจะลดความซับซ้อน ทุกสิ่งทุกอย่าง ในการที่จะพัฒนาตนเอง หรือพัฒนาชีวิต ให้ดีขึ้น จึงขอแนะนำแนวทาง ที่สามารถทำได้ตั้งแต่เริ่มต้น ตลอดไปจนทุก ๆ วันของชีวิต ด้วยการตอบคำถาม เพียงคำถามเดียว

ต้องการอะไร ให้ถามตัวเองเสมอ

กับคำถามที่ว่า เราต้องการอะไร ที่ควรตั้งใจตอบตัวเองให้ได้ มันจะสามารถ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แทบจะทันทีของชีวิต เช่น ในขณะที่เรากำลังเล่นสื่อโซเชียลมีเดียอยู่ เราก็ถามตัวเองขึ้นมาว่า ต้องการอะไร เราอาจจะพบว่า เราไม่ได้ต้องการอะไรเลย เมื่อนั้นเราจะรู้สึกว่านี่ เรากำลังทำตัวเองเสียเวลาใช่ไหม หรือในตัวอย่างเดียวกันนี้ หากมีคำตอบว่า เล่น facebook ตอนนี้ เพื่อดูชีวิตคนหนึ่ง ก็ถามตัวเองต่อไปอีกว่า ที่ดูชีวิตเขานั้น ต้องการอะไร? เราก็อาจจะพบคำตอบคล้ายกัน เพราะชีวิตเขาที่เราดูนั้น มันก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นเลย นี่ก็กำลังเสียเวลาเช่นกัน

หรืออีกตัวอย่าง ที่คำตอบอาจจะเป็นว่า ที่เล่นอยู่ตอนนี้ เพื่อดูข่าวสาร ตามความเคลื่อนไหวสังคม ดูเป็นคำตอบที่ดี แต่ทำไมต้องดูบน สื่อนี้ ที่ที่เต็มไปด้วยข่าวปลอม และหลาย ๆ ครั้ง เต็มไปด้วยความเอนเอียงของสังคม การใส่อารมณ์ที่ทำให้เราเครียด ส่งผ่านทางความคิดเห็นต่าง ๆ ซึ่งบนความเป็นจริง ถ้าจะตามข่าวสาร ก็ควรเข้าเว็บข่าวที่น่าชื่อถือ ส่วนหนึ่งก็ใช่ว่าจะดูข่าวสารบน facebook ไม่ได้ แต่มันก็มีโอกาสที่ทำให้เราไขว้เขว เสียเวลา เสียสมาธิ หากเผลอไปดูคลิปอื่น เรื่องคนอื่นจน ไม่ได้อ่านสาระจากข่าวสักที

และที่มากไปกว่านั้น บางที สิ่งที่เราสนใจกว่า จะกลายเป็น Comment (ความคิดเห็น) ซึ่งถ้าทบทวน เหล่านั้นคือความคิดคนอื่น ที่เขาจะคิดกันอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ บางส่วนอาจมีสาระข้อเท็จจริงอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่อ่านเพียงเพื่อสนองอารมณ์ ความอยากรู้ว่าคนอื่นคิดยังไง นอกจากไม่เกี่ยวกับเราแล้วยังเป็นสิ่งที่ยิ่งดึงเราเข้าไป ให้เกิดทั้งอารมณ์ร่วม (จนเสียสุขภาพจิต) บางทีหลงประเด็น เสียเวลาไปมากกว่าเดิม (ก็แล้วแต่จะพิจารณา) นั่นเป็นเพียงเพราะ หนึ่งตัวอย่างเล็ก ๆ ที่น่าจะใกล้ตัว และนึกภาพออกได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว การที่เราใช้ชีวิตไม่มีประสิทธิภาพ ก็เพราะเราใช้เวลาส่วนใหญ่ ไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็น การตั้งคำถามนี้บ่อย ๆ ยิ่งบ่อย ยิ่งดี จะช่วยดึงให้เรากลับมา Productive ได้ไม่ยากเลย

การพัฒนาตนเอง บนเป้าหมายที่ใหญ่กว่า

การเพียงตั้งคำถามต่อตัวเองว่า ต้องการอะไร แล้วตอบคำถามกับตัวเองอย่างจริงใจ ไม่เพียงแต่จะ ลด หยุด หรือทบทวน สิ่งที่จะทำให้เสียคุณค่า หรือเสียเวลาของเราไปในแต่ละวัน หากใช้มัน เพื่อทบทวน และระลึกถึงเป้าหมายใหญ่ ก็ยิ่งทำให้ชีวิตสามารถเข้าที่เข้าทางได้ เป็นอย่างดี เช่น เป้าหมายในปีนี้ เราคือเก็บเงินให้ได้เท่านั้น เท่านี้บาท

เมื่อเวลามีบางเหตุการณ์เข้ามา แม้จะไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไร หรืออะไร ณ เวลานั้น แต่มันอาจทำให้ เราไม่ออกนอกลู่นอกทาง แล้วกลับไปสู่สิ่งที่ใหญ่กว่าได้ เพราะหลายคนที่เคยผ่านการตั้งเป้าหมายใหญ่มา เราก็มักจะสูญเสียเป้าหมาย หรือทำไม่ได้ เพียงเพราะความไขว้เขว ผิดหวัง หรือแพ้ต่อสิ่งเล็ก ๆ แบบนี้แหละ สะสมไปเรื่อย ๆ จนเป้าหมายใหญ่ค่อย ๆ ไกลออกไป จนยากที่จะกลายเป็นจริง นี่จึงเป็นอีกสิ่ง ที่ช่วยยับยังการปล่อยให้ตัวเราเอง พังเป้าหมายใหญ่ไปทีละน้อย เพียงแค่พยายามถามตัวเองเอาไว้ว่า ต้องการอะไร ในวันนี้

วิธีคลายเครียด ผ่อนคลายแบบไม่ต้องพึ่งยา สภาวะความเครียด อาการเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม ที่อาจนำไปสู่สารพัดโรค

วิธีคลายเครียด ผ่อนคลายแบบไม่ต้องพึ่งยา สภาวะความเครียด อาการเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม ที่อาจนำไปสู่สารพัดโรค

วิธีคลายเครียด

วิธีคลายเครียด ผ่อนคลายแบบไม่ต้องพึ่งยา สภาวะความเครียด อาการเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม ที่อาจนำไปสู่สารพัดโรค

วิธีคลายเครียด ผ่อนคลายแบบไม่ต้องพึ่งยา สภาวะความเครียด อาการเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม ที่อาจนำไปสู่หลายโรคร้าย หลายคนอาจไม่รู้ตัว ว่ากำลังตกอยู่ในสภาวะความเครียด เพราะเคยชินไปแล้ว กับสถานการณ์ตึง ๆ ในชีวิต ที่ต้องเผชิญหน้าอยู่ทุกวัน ๆ แถมบางคน เลือกที่จะไม่ยอมรับด้วยซ้ำ ว่าตัวเองกำลังเครียดอยู่ รู้ตัวอีกที ก็ได้รับผลกระทบจากสารพัดโรค ที่มีสาเหตุมาจากโรคเครียด จนต้องจ่ายค่ารักษากันแบบยาว ๆ จนบางครั้ง อาจต้องหันไปพึ่งยาคลายเครียด เป็นทางลัด ซึ่งยาคลายเครียดนั้น แม้จะช่วยให้เราผ่อนคลาย แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลเสียให้กับร่างกายของเราเสียมากกว่า

วิธีคลายเครียด ผ่อนคลายแบบไม่ต้องพึ่งยา สภาวะความเครียด อาการเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม ที่อาจนำไปสู่สารพัดโรค

วิธีคลายเครียด ผ่อนคลายแบบไม่ต้องพึ่งยา สภาวะความเครียด อาการเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม ที่อาจนำไปสู่สารพัดโรค

จะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถบริหารความเครียดนี้ ให้ไม่เกินลิมิต จนอาจส่งผลอันตรายต่อชีวิต มากจนเกินไปได้ โดยไม่ต้องพึ่งพายาคลายเครียด วันนี้เราจึงหยิบยกเอา 6 วิธีคลายเครียดแบบง่าย ๆ ที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายได้ในเบื้องต้นแบบไม่ต้องพึ่งยาคลายเครียดมาให้คุณได้ลองอ่าน และนำไปปรับใช้ไปพร้อม ๆ กัน แต่ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า ความเครียดนั้น จะส่งผลอะไรต่อเราบ้าง

ความเครียดก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องใดบ้าง

1. ด้านร่างกาย
ภาวะที่เครียดเกิดขึ้นนั้น จะกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลม เจ็บหน้าอก ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน โรคอ้วน หรือแผลในกระเพาะอาหาร เมื่อบุคคลตกอยู่ในความเครียดเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้สุขภาพร่างกายแย่ลง เนื่องจากเกิดความไม่สมดุล ของระบบฮอร์โมน ซึ่งเป็นชีวเคมีที่สำคัญต่อร่างกายมนุษย์ เพราะทำหน้าที่ช่วยควบคุม การทำงานของระบบต่าง ๆ ภายใน ขณะเกิดความเครียด จะทำให้ต่อมใต้สมองถูกกระตุ้น ทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น จนทำให้เกิดอาการทางกายหลาย ๆ อย่าง แตกต่างกันไป ในแต่ละบุคคล ตั้งแต่ปวดศีรษะ ปวดหลัง อ่อนเพลีย หากบุคคลนั้น ต้องเผชิญกับความเครียดที่รุนแรงมาก ๆ ก็อาจส่งผลให้ บุคคลเสียชีวิตได้ เนื่องจากระบบการทำงาน ที่ล้มเหลวของร่างกาย เช่น คนที่มี โรคเบาหวานเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว หากเกิดความเครียดอย่างรุนแรง ฮอร์โมนคอร์ติซอลนี้ ก็จะไปกระตุ้นระดับน้ำตาลในเลือด ให้สูงขึ้น หรือลดต่ำลงอย่างผิดปกติ และทำให้เกิดอาการช็อกได้

2. ด้านจิตใจและอารมณ์
จิตใจของบุคคลที่เครียดนั้น จะเต็มไปด้วยการหมกมุ่นครุ่นคิด ไม่สนใจสิ่งรอบตัว ใจลอย ขาดสมาธิ ความระมัดระวัง ในการทำงานหายไป เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย จิตใจขุ่นมัว โมโหโกรธง่าย และอสจสูญเสียความเชื่อมั่น ในความสามารถที่จะจัดการกับชีวิต ของตนเอง เศร้าซึม คับข้องใจ วิตกกังวล ขาดความภูมิใจในตนเอง ในบางราย ที่ตกอยู่ในภาวะเครียด มาอย่างยาวนานมาก อาจก่อให้เกิดอาการทางจิต จนกลายเป็นโรคจิต หรือโรคประสาทได้ เนื่องจากการเผชิญต่อภาวะเครียด เป็นเวลานาน ฮอร์โมนคอร์ติซอลที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น จนทำให้เซลล์ประสาทฝ่อ และลดจำนวนลง โดยเฉพาะในสมองส่วนที่ เกี่ยวข้องกับกับความจำ และด้านสติปัญญา จึงทำให้ ความจำ และสติปัญญาลดลง และยังมีผลต่อการทำงานของสารสื่อประสาท จึงทำให้เกิดอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลกว่าเวลาปกติ

3. ด้านพฤติกรรม
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ดังกล่าวข้างต้น ทำให้พฤติกรรมการแสดงออก ของบุคคลนั้น ๆ เปลี่ยนแปลงไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น บุคคลที่เครียดมาก ๆ บางรายจะมีอาการเบื่ออาหาร หรือบางรายอาจจะรู้สึกว่า ตัวเองหิวอยู่ตลอดเวลา และทำให้มีการบริโภคอาหาร มากกว่าที่เคยกินปกติ มีอาการนอนหลับยาก หรือนอนไม่หลับ หลายคืนติดต่อกัน ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง เริ่มปลีกตัวจากสังคม และเผชิญกับความเครียดอย่างโดดเดี่ยว บ่อยครั้ง บุคคลอาจจะมีพฤติกรรม การปรับตัวต่อความเครียดในทางที่ผิด เช่น สูบบุหรี่ ติดเหล้า ติดยา เล่นการพนัน การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีบางอย่าง ในสมองของบุคคล ทำให้บุคคลมีพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น ความอดทนเริ่มต่ำลง พร้อมที่จะเป็นศัตรูกับผู้อื่นได้ง่ายขึ้น อาจมีการอาละวาดขว้างปาข้าวของ ทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายร่างกายตนเอง หรือหากบางรายที่มีความเครียดมาก อาจเกิดอาการหลงผิด และตัดสินใจแบบชั่ววูบนำไปสู่การฆ่าตัวตายในที่สุด

6 วิธีคลายเครียดง่าย ๆ ผ่อนคลายแบบไม่ต้องพึ่งยา

1. บำบัดความเครียด ด้วยการทำในสิ่งที่ตนชอบ
2. ใช้อาหารที่ชอบเป็นตัวช่วยในการคลายเครียด
3. รักษาอาการเครียดจากการกอด
4. เข้าร่วมกิจกรรมที่ช่วยฝึกจิตใจ ลดความเครียด เช่น ฝึกสมาธิ
5. การออกกำลังกายเบา ๆ
6. เปลี่ยนบรรยากาศแวดล้อมให้เหมาะ กับการผ่อนคลายความเครียด

ผดผื่นแพ้ อาการแพ้อากาศที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง ผดผื่นแดงตามตัว เกิดจากอะไร วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการ

ผดผื่นแพ้ อาการแพ้อากาศที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง ผดผื่นแดงตามตัว เกิดจากอะไร วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการ

ผดผื่นแพ้

ผดผื่นแพ้ อาการแพ้อากาศที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง ผดผื่นแดงตามตัว เกิดจากอะไร วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการ

ผดผื่นแพ้ อาการแพ้อากาศที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง ผดผื่นแดงตามตัว เกิดจากอะไร วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการ ช่วงนี้ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย แถมฝุ่น PM 2.5 ก็กลับมา หนาแน่นอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อต้องเจอกับสภาพอากาศ และฝุ่นพิษทั้งหลาย หลายคนจะมีอาการแพ้อากาศ ซึ่งมีทั้งอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล คัน และเกิดผื่นแพ้อากาศนั่นเอง ซึ่งผื่นแพ้อากาศนั้น มีสาเหตุจากอะไรบ้าง มีอาการและลักษณะของ ผื่นเป็นอย่างไร ควรระมัดระวังดูแลตนเองอย่างไร บทความนี้จะช่วยไขความกระจ่างให้คุณเอง

อาการแพ้อากาศที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง ผดผื่นแดงตามตัว เกิดจากอะไร วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการ

ผดผื่นแพ้ อาการแพ้อากาศที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง ผดผื่นแดงตามตัว เกิดจากอะไร วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการ
\

ผื่นแพ้อากาศคืออะไร

ผดผื่นแพ้อากาศ เป็นอาการทางผิวหนัง ที่มักจะมาพร้อมกับ อาการภูมิแพ้อากาศ ซึ่งสาเหตุหลัก ของการเกิดภูมิแพ้อากาศนั้น มีทั้งที่เป็นเฉพาะฤดูกาล ทำให้สารก่อภูมิแพ้ กระจายในอากาศเพิ่มขึ้น เช่น ภูมิแพ้เกสรดอกไม้ หรือภูมิแพ้อากาศ ที่เป็นตลอดทั้งปี ซึ่งเกิดจากได้รับสารก่อภูมิแพ้ จากสภาพแวดล้อม เช่น ภูมิแพ้ฝุ่น หรือไรฝุ่น เป็นต้น จนก่อให้เกิดผื่นแพ้อากาศตามมา โดยผื่นแพ้อากาศ มักถูกกระตุ้นเมื่อถึงฤดูหนาว ที่มีอากาศแห้ง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการคัน และผื่นแพ้

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ผื่นแพ้อากาศยังสามารถเกิดได้ จากการสูดดมสารระคายเคือง หรือมลพิษต่าง ๆ โดยเฉพาะ หากมีค่าฝุ่นพิษ ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ที่เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งฝุ่นพิษนี้ เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ของมนุษย์เรานั่นเอง เช่น ควันจากท่อไอเสียรถ การเผาขยะ ด้วยเหตุที่ฝุ่นเหล่านี้ มีผลต่อการกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระ ทั้งยังลดแอนติออกซิแดนซ์ ให้น้อยลงอีกด้วย เมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับฝุ่นนาน ๆ ผิวพรรณก็ไม่แข็งแรง เกิดโอกาสผื่นคันแพ้ฝุ่น และระคายเคืองได้ง่าย ย่อมทำให้เกิดอาการมีผื่นแพ้อากาศได้

วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นผื่นแพ้อากาศ

การหลีกเลี่ยงการสัมผัส กับสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในอากาศ เป็นการป้องกัน ภูมิแพ้อากาศ ที่ดีที่สุด และควรดูแลตัวเองเพิ่มเติม ด้วยวิธี ต่อไปนี้

  1. หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น ใช้สบู่ที่อ่อนโยน การอาบน้ำอุ่น จะยิ่งทำให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น จนก่อให้เกิด การระคายเคืองมากยิ่งขึ้น และควรใช้สบู่ ที่อ่อนโยนต่อผิว และใช้ผลิตภัณฑ์ สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ เพราะส่วนผสมของสบู่ ที่มีน้ำหอม หรือสารกันเสีย จะยิ่งทำให้เกิดผื่นแดง หรือผื่นคันแพ้ฝุ่น มากยิ่งขึ้น
  2. ใช้ครีมบำรุง เพื่อลดการระคายเคือง การเผชิญสภาพอากาศ ที่ส่งผลเสียต่อผิวหนัง จนเกิดการอักเสบ ผิวถูกทำลาย ดังนั้น จึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยให้ผิวนุ่ม และชุ่มชื้น หรือครีมที่ช่วยกักความชุ่มชื้นในผิว สำหรับคนผิวแห้ง แดง คัน หรือผื่นแพ้ฝุ่น ที่ปราศจากน้ำหอม และผสานสารสำคัญ จากธรรมชาติ และกรดไขมัน ที่จำเป็นต่อผิว จะช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื่อ ไม่แห้งแตก จนทำให้เกิดการระคายเคืองได้
  3. ใส่หน้ากากอนามัยตลอด หากต้องไป ในที่ที่มีฝุ่นละอองมาก ควรสวมหน้ากากอนามัย ทุกครั้งที่ต้องเข้าไป ในพื้นที่เสี่ยง โดยต้องสวมใส่ ให้ถูกวิธีด้วย และหลีกเลี่ยง การทำกิจกรรมต่าง ๆ กลางแจ้ง ในวันที่มีอากาศไม่ดี มีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน ก็จะช่วยป้องกันความเสี่ยงต่ออาการแพ้ที่อาจเกิดกับผิวหน้าเราได้
  4. พักผ่อนให้เพียงพอ และทานอาหาร ที่มีประโยชน์ เสริมภูมิคุ้มกัน การนอนน้อย หรือภาวะที่ ร่างกายเราพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้ภูมิต้านทานลดลง และหากเจอกับฝุ่น ในสภาพอดหลับอดนอน ก็จะส่งผลให้เจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น ดังนั้น เราควรนอนหลับพักผ่อน ให้เพียงพอ นอกจากนี้ ยังต้องรับประทานอาหาร ที่ดีมีประโยชน์ ให้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีน ผัก และผลไม้ ที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน ให้กับร่างกายได้

แม้ว่าสภาพอากาศ จะเปลี่ยนแปลง มีฝุ่น PM 2.5 รวมทั้ง มลพิษ และสารก่อภูมิแพ้อื่น ๆ คอยรบกวน จนเป็นเหตุให้เกิดผื่นแพ้อากาศ แต่เมื่อทราบสาเหตุ ของการเป็นผื่นแพ้อากาศแล้ว เราก็สามารถที่จะหลีกเลี่ยง สภาพอากาศที่มีฝุ่น รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดการเป็นผื่นแพ้ รวมถึงสามารถป้องกัน และดูแลตัวเองได้ ด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่ลดการระคายเคือง และสร้างความชุ่มชื่น เพียงเท่านี้ อาการผื่นแพ้อากาศ ก็จะทุเลาลงไปได้ในที่สุด

โรคเกาท์ รู้ทันสัญญาณเตือนของโรคเกาต์ โรคเกาต์คืออะไร รักษาโรคเกาต์อย่างไร

โรคเกาท์ รู้ทันสัญญาณเตือนของโรคเกาต์ โรคเกาต์คืออะไร รักษาโรคเกาต์อย่างไร

โรคเกาท์

โรคเกาท์ รู้ทันสัญญาณเตือนของโรคเกาต์ โรคเกาต์คืออะไร รักษาโรคเกาต์อย่างไร

โรคเกาท์ ภัยเงียบ รู้ทันสัญญาณเตือนของโรคเกาต์ โรคเกาต์คืออะไร รักษาโรคเกาต์อย่างไร โรคเกาต์ หรือ ภาวะข้ออักเสบเฉียบพลัน มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Gout เป็นโรคที่เกิดจาก การสะสมของผลึกเกลือยูเรต ตามเนื้อเยื่อของร่างกายเป็นเวลานาน ๆ  ผู้ที่เป็นโรคเกาต์จะต้องเผชิญ กับความเจ็บปวดข้อรุนแรงเฉียบพลัน และสามารถกำเริบซ้ำได้ในหลายเวลา ทำให้ส่งผลด้านลบต่อสุขภาพร่างกาย และจิตใจในระยะยาว

รู้ทันสัญญาณเตือนของโรคเกาต์ โรคเกาต์คืออะไร รักษาโรคเกาต์อย่างไร

โรคเกาท์ รู้ทันสัญญาณเตือนของโรคเกาต์ โรคเกาต์คืออะไร รักษาโรคเกาต์อย่างไร

โรคเกาต์นั้น สามารถรักษาหายขาดได้ หากรักษาอย่างเหมาะสม เป็นเวลาต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการรู้ทัน สัญญาณเตือนของโรคเกาต์ ในระยะแรกเริ่ม มาดูกันดีกว่า ว่าค่ากรดยูริกสูงเท่าไหร่ ถึงจะเข้าเกณฑ์ผู้ป่วยโรคเกาต์ได้

กรดยูริกในเลือดสูงเท่าไหร่ถึงเป็นโรคเกาต์

ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง คือภาวะที่ระดับกรดยูริก สูงกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในคนทั่วไป โดยภาวะกรดยูริกในเพศชาย และเพศหญิงจะไม่เท่ากัน สำหรับเพศชาย จะต้องมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่า 7 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และสำหรับเพศหญิง มีระดับกรดยูริกอยู่ในเลือดสูงกว่า 6 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ซึ่งค่าปกติทั่วไปในเพศชาย จะมีระดับกรดยูริกในเลือดประมาณ 3.4-7.0 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และในเพศหญิงจะมีประมาณ 2.4-6.0 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ทั้งนี้ ผู้ที่มีค่ากรดยูริกสูง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคเกาต์กันหมดทุกคน เพราะผู้ที่เป็นโรคเกาต์จะต้องมีอาการของการปวดข้อรุนแรงร่วมด้วย

สาเหตุของโรคเกาต์

โรคเกาต์เกิดจากการที่ ร่างกายสร้างกรดยูริกในปริมาณมาก ติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งกรดยูริกถือเป็นของเสียรูปแบบหนึ่งของร่างกาย เมื่อเกิดการสะสม ก็จะตกตะกอนเป็นผลึกที่บริเวณข้อต่อ ทำให้เกิดการอักเสบ ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณข้ออย่างรุนแรง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเกาต์ ก็มีดังนี้
– คนที่ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมโรคเกาต์ จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่าคนทั่วไป
– คนที่มีพฤติกรรมที่ชอบรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตส
– คนที่เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคไต เป็นกลุ่มเสี่ยงของโรคเกาต์ เช่นกัน

อาการของโรคเกาต์

แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
– ระยะที่ 1: ระยะที่ข้ออักเสบเฉียบพลัน ลักษณะอาการของโรคเกาต์ ในระยะนี้ มักปวดบวมรุนแรงที่ข้อหัวแม่เท้าหรือข้อเท้าใน 24 ชั่วโมงแรก และสามารถหายเองได้ภายใน 5-7 วัน และส่วนใหญ่จะกำเริบซ้ำอีกหากไม่รีบรักษา
– ระยะที่ 2: ระยะที่ไม่แสดงอาการของข้ออักเสบ ลักษณะอาการของระยะนี้ มักเป็นปกติหลังจากข้ออักเสบหายในระยะแรก ไม่มีการแสดงอาการปวดบริเวณข้อ แต่จะมีโอกาสกำเริบซ้ำอีกภายใน 1-2 ปี เมื่อข้ออักเสบ ความปวดก็จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกครั้ง และอาจมีไข้จากอาการข้ออักเสบด้วย
– ระยะที่ 3: ระยะข้ออักเสบเรื้อรัง ลักษณะของอาการเฉพาะในระยะนี้คือ ข้อมีอาการอักเสบเพิ่มมากขึ้น จนเรื้อรังร่วมกับ พบก้อนผลึกยูเรต หรือเรียกว่า โทฟัส เป็นก้อนสีขาวคล้ายชอล์กตามผิวหนัง บริเวณข้อนิ้วเท้า เอ็นร้อยหวาย ใบหู ข้อนิ้วมือ และข้อศอก อีกทั้งอาจมีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจเสี่ยงเกิดภาวะไตวายแทรกซ้อนได้

หากมีอาการปวดตามข้อหัวแม่มือ ข้อเท้า หรือข้อนิ้วเท้า แม้อาการจะหายไป เราขอแนะนำให้ไปตรวจค่ากรดยูริกที่โรงพยาบาล หากมีภาวะกรดยูริกเกิน อาจมีความเสี่ยงเป็นโรคเกาต์ แพทย์จะได้ทำการวินิจฉัย และทำการรักษาอย่างถูกต้อง

การรักษาโรคเกาต์

1. วิธีการรักษาโรคเกาต์โดยไม่ใช้ยา
คือต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การรับประทานอาหาร จำพวกโปรตีน หรือพิวรีนสูง ให้น้อยลง เช่น เครื่องในสัตว์ ยอดหน่อไม้ฝรั่ง สัตว์ปีก งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตส และลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เสี่ยง หากมีอาการปวดข้อ สามารถใช้น้ำแข็งประคบในบริเวณที่ปวดได้
2. การรักษาโรคเกาต์โดยใช้ยา
แพทย์จะแนะนำในผู้ป่วยโรคเกาต์ ที่ปวดในระดับเล็กน้อยถึงปานกลางให้ใช้ยา 3 ชนิดได้แก่ ยาโคลชิซิน กลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ และกลุ่มยาคอร์ติโคสเตียรอยด์

ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นโรคเกาต์

ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตน เพื่อลดอาการข้ออักเสบ ดังนี้
– ดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ เพื่อช่วยลดกรดยูริกในเลือดให้น้อยลง
– งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตส
– หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง เพราะพิวรีนเป็นสารตั้งต้นในการสร้างกรดยูริก เช่น พวกเครื่องในสัตว์ อาหารทะเล สัตว์ปีก ยอดหน่อไม้ฝรั่ง และถั่วบางชนิด
– ไปตรวจวัดค่ากรดยูริกในเลือดเป็นประจำ
– ควบคุมน้ำหนักของตน ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
– พบแพทย์ตามนัด และทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดสม่ำเสมอ

นอนไม่หลับ นอนหลับยาก นอนยังไงก็หลับไม่ลง ทำไงดี เรามีวิธีช่วยให้คุณ หลับง่ายขึ้น

นอนไม่หลับ นอนหลับยาก นอนยังไงก็หลับไม่ลง ทำไงดี เรามีวิธีช่วยให้คุณ หลับง่ายขึ้น

นอนไม่หลับ

นอนไม่หลับ นอนหลับยาก นอนยังไงก็หลับไม่ลง ทำไงดี เรามีวิธีช่วยให้คุณ หลับง่ายขึ้น

นอนไม่หลับ นอนหลับยาก นอนยังไงก็หลับไม่ลง ทำไงดี เรามีวิธีช่วยให้คุณ หลับง่ายขึ้น  แล้วเมื่อไหร่จึงเรียกว่านอน ไม่หลับล่ะ  เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน เราต้องขออธิบาย ให้รู้ว่า การนอนไม่หลับนั้นไม่ใช่โรค แต่ถือเป็น ปัญหาการนอน ที่ไม่เพียงพอ ทำให้เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว รู้สึกไม่สดชื่น โดยอาจส่งผลกระทบ ต่อหน้าที่ การทำงาน และความสัมพันธ์ต่อผู้อื่นได้ ซึ่งหลาย ๆ คนก็อาจมีความรู้สึก เมื่อนอนไม่หลับได้หลายรูปแบบ เช่น นอนหลับยาก ต้องใช้เวลานานถึงจะหลับ , หลับไม่สนิท , นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ , นอนเร็วกว่าปกติ , ตื่นนอนแล้วไม่สดชื่น เมื่อเกิดอาการนี้มาก ๆ เข้า หลายคนก็หมกมุ่น อยู่กับอาการของตน จนไม่เป็นอันทำอะไร ดังนั้น ในบทความนี้ จึงขอพาท่าน มาทำความเข้าใจ อาการนอน ไม่หลับเหล่านี้ เพื่อให้หาวิธีแก้ ที่ถูกต้อง ก่อนที่ สุขภาพของเรา จะกู่ไม่กลับ

นอนหลับยาก นอนยังไงก็หลับไม่ลง ทำไงดี เรามีวิธีช่วยให้คุณ หลับง่ายขึ้น การนอน ไม่หลับส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง

นอนไม่หลับ นอนหลับยาก นอนยังไงก็หลับไม่ลง ทำไงดี เรามีวิธีช่วยให้คุณ หลับง่ายขึ้น

– คุณภาพชีวิตที่ดี อาจลดลง
– ประสิทธิภาพ ในการทำงาน ของท่าน ลดลง
– ความสามารถ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ลดลง
– อาจประสบอุบัติเหตุ ได้ง่าย ซึ่งมีการสำรวจว่า หากขับรถ โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 2.5 เท่า
– มีการใช้บริการทางแพทย์สูงขึ้น เนื่องมาจากปัญหาด้านสุขภาพ เช่น การปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เฉื่อยชา รู้สึกไม่สดชื่น หงุดหงิด ขาดสมาธิ เป็นต้น
– การนอน ไม่หลับ ในผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคทางจิตเวช มีรายงานพบว่าอาจเสี่ยงต่อการกลับมาเป็นซ้ำอีก

สาเหตุของการนอนไม่หลับ

1. สาเหตุของการนอน ไม่หลับ ที่เกี่ยวข้องกับ เรื่องของจิตใจ จากผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่มีอาการนอน ไม่หลับส่วนใหญ่ มักเกิดจากอาการที่ ส่งผลกระทบต่อเรื่องของจิตใจของบุคคล อาทิเช่น โรคเครียด โรคซึมเศร้า โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้ถึงร้อยละ 70 จะมีอาการนอน ไม่กลับ เป็นอาการหลัก ๆ

2. สาเหตุของการนอน ไม่หลับที่มีปัจจัยที่เข้าไป กระตุ้นให้เกิดการนอน ไม่หลับ ซึ่งมักจะเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว อาทิ
– Adjustment Sleep Disorder เป็นภาวะการนอน ไม่หลับ ที่เกิดจากสิ่งกระตุ้นที่เพิ่งเกิด เช่น ผลจากความเครียด , การเจ็บป่วย , การผ่าตัด , การสูญเสียของรัก หรืองาน ซึ่งเมื่อใด ที่สิ่งกระตุ้นเหล่านี้หายไป อาการนอนไม่ หลับจะกลับสู่สภาวะปกติ
– Jet Lag มักจะเกิดขึ้น กับผู้ป่วยที่เดินทางบินข้ามเขตเวลา ทำให้ร่างกาย ต้องเปลี่ยนเวลานอน จนปรับตัวเองไม่ทัน เลยเป็นเหตุให้นอนหลับยาก
– Working Conditions เป็นผลมาจากการที่ต้องเข้างานเป็นกะ ทำให้นาฬิกาชีวิตเปลี่ยนไป จนทำให้ นอนไม่เป็นเวลา
– Medications อาการนอน ไม่หลับที่เกิดจากการใช้ยาบางชนิด หรือเครื่องดื่ม เช่น ยาลดน้ำมูก , กาแฟ

วิธีแก้อาการนอนหลับยาก

1. ให้จัดห้องนอน ให้เหมาะสมแก่การนอน ตรวจสอบรอบห้องให้ดี อย่าให้มีเสียงรบกวน หรือเสียงแทรกเข้ามาได้ ควรปรับอุณหภูมิห้อง ให้เหมาะสม ไม่ร้อน หรือหนาวเกินไป ที่สำคัญเลยคือ ห้องนอนควรมืดสนิท เพื่อการนอนหลับที่ดี มีประสิทธิภาพ
2. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม ที่มีคาเฟอีน หลังช่วงบ่าย จนถึง ช่วงก่อนเข้านอน
3. ก่อนนอน ให้ดื่มนมอุ่น ๆ สักแก้ว จะช่วยให้ หลับสบายยิ่งขึ้น
4. ไม่ควรงีบหลับ ในเวลากลางวัน เพราะอาจรบกวน การนอนในยามค่ำคืนได้  ถ้าง่วงจนทนไม่ไหวจริง ๆ ก็อย่างีบหลับจนเกิน 1 ชั่วโมง เป็นอันขาด
5. นอนให้เพียงพอ อย่านอนเยอะเกินไป หลังตื่นนอน ควรลุกออกจากเตียง แล้วเดินไปสูดอากาศ ในยามเช้าจะดีกว่า
6. เข้านอน และ ตื่นนอน ให้เป็นเวลา ทำให้ติดเป็นนิสัย ไม่ใช่ว่าคืนไหนนอนดึกก็นอน คืนไหนอยากตื่นสายก็ตื่น บอกเลยว่าห้ามทำเด็ดขาด ไม่งั้น อาจจะกระทบ กับเวลานอน ทำให้อาการนอน ไม่หลับ กลับมาอีก
7. ถ้านอน ไม่หลับเกิน 15-20  นาที ควรลุกออกจากเตียง มาหากิจกรรมอย่างอื่นทำ เช่น การฟังเพลง การอ่านหนังสือวิชาการ หรือหนังสือธรรมมะ น่าจะช่วยให้ รู้สึกง่วงได้ดีไม่น้อย  หลีกเลี่ยงการดูโทรทัศน์ เล่นมือถือ หรือเล่นคอมพิวเตอร์ เพราะแสงจากจอ จะกระตุ้นให้สมองตื่นตัวได้
8. ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30-45 นาที 3-4 วันต่อสัปดาห์ การออกกำลังกาย จะช่วยลดความตึงเครียด ทางอารมณ์ และร่างกายได้ หากออกกำลังกายในช่วงเช้า และเย็นได้ผลดีที่สุด ไม่ควรออกกำลังกายตอนดึก หรือใกล้ช่วงเวลานอน เพราะอุณหภูมิในร่างกาย จะสูงขึ้น และไปกระตุ้นสมอง ให้ทำงาน จะทำให้ เราหลับยากขึ้นกว่าเดิม

ปวดหัวและปวดตา อาการที่คนทั่วไปเป็นบ่อย จนมักจะละเลยสัญญาณแห่งโรคต่างๆ นี้

ปวดหัวและปวดตา อาการที่คนทั่วไปเป็นบ่อย จนมักจะละเลยสัญญาณแห่งโรคต่างๆ นี้

ปวดหัวและปวดตา อาการที่คนทั่วไปเป็นบ่อย จนมักจะละเลยสัญญาณแห่งโรคต่างๆ นี้

ปวดหัวและปวดตา

ปวดหัวและปวดตา อาการที่คนทั่วไปเป็นบ่อย จนมักจะละเลยสัญญาณแห่งโรคต่างๆ นี้ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เกิดได้จากหลายๆ สาเหตุ ซึ่งบางสาเหตุก็มีอันตรายถึงขั้นชีวิต แต่บางสาเหตุก็เพียงทำให้เกิดความรำคาญเท่านั้น และบางครั้งก็หาสาเหตุไม่ได้

สาเหตุที่ทำให้ปวดหัว ปวดตา แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

ปวดหัวและปวดตา อาการที่คนทั่วไปเป็นบ่อย จนมักจะละเลยสัญญาณแห่งโรคต่างๆ นี้

1 ความเครียดของกล้ามเนื้อ

การปวดหัวจากสาเหตุนี้ มักพบบ่อยๆ คนไข้จะปวดหัวจากความตึงเครียดของกล้ามเนื้อแถวต้นคอและท้ายทอย โดยอาการปวดมักจะไม่มีตำแหน่งที่แน่นอน มักจะปวดร้าวไปที่บริเวณขมับและหน้าผาก หรือกระบอกตา อาการปวดแบบนี้อาจจะเกิดจากความเครียดในการทำงาน นอนผิดท่า นอนตกหมอน เป็นต้น

การปวดหัวจากความเครียดของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับตา คือการปวดบริเวณกระบอกตา หลังจากทำงานที่ละเอียดหรือว่าต้องใช้สายตา เช่น งานฝีมือ หรืออ่านหนังสือตัวเล็กๆ นานๆ พวกนี้จะมีอาการปวดกระบอกตา และอาจร้าวไปถึงท้ายทอยได้ ซึ่งสาเหตุเกิดจากล้ามเนื้อตาล้า หรือกล้ามเนื้อตา ที่ทำงานเกี่ยวกับการเพ่งไม่แข็งแรงพอ คือเพ่งไม่เก่งนั่นเอง

2 ไมเกรน

คนไข้ที่มีอาการนี้มักมีอาการปวดหัวข้างเดียว ตามด้วยอาการคลื่นไส้ อาเจียน อารมณ์หงุดหงิด และอาจจะเห็นภาพมัวไปชั่วขณะ หรือเห็นแสงไฟแลบหรือฟ้าแลบกับอาการปวดหัวก็ได้ คนเหล่านี้อาจจะมีประวัติทางครอบครัวร่วมด้วยจากโรคต่างๆ เช่น โรคของสมอง ตา หู โพรงจมูก และฟัน เช่น โรคความดันโลหิตสูงจากสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง, เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือมีเลือดออกในเยื่อบุสมองในรายที่เคยได้รับอุบัติเหตุ จากไซนัส, จากหูน้ำหนวก, จากฟันผุ ซึ่งในที่นี้จะพูดเฉพาะอาการปวดหัวที่เกี่ยวข้องกับตาเท่านั้น

3 กล้ามเนื้อตาล้า

อาการกล้ามเนื้อตาล้า คือ อาการปวดหัว ปวดตา ที่เกิดขึ้นเวลาทำงานที่ต้องใช้สายตาใกล้ๆ ในงานที่ละเอียด ซึ่งคนเหล่านี้มักจะทำงานโดยใช้สายตาใกล้ๆ นานๆ ไม่ได้ เพราะกล้ามเนื้อตาที่ใช้มองใกล้ หรือรวมตัวเพ่งในที่ใกล้นั้นไม่แข็งแรงพอ คนไข้จะมีอาการปวดตา ปวดหัว อาจจะปวดที่กระบอกตาและร้าวไปถึงท้ายทอยได้ บางครั้งก็ตาลายเวลาอ่านหนังสือ หรือทำงานที่ต้องใช้สายตาในระยะใกล้ๆ อาการนี้มักพบในเด็กหรือวัยรุ่นที่ต้องอดนอนอ่านหนังสือนานเป็นเวลานานๆ หรือเล่นวีดีโอเกมเป็นเวลานานๆ และอีกกลุ่มที่พบได้คือ กลุ่มที่อายุเริ่มเข้า 40 ปี ซึ่งจำเป็นต้องใช้แว่นดูใกล้ๆ

4 สายตาผิดปกติ

สายตาผิดปกติ คนเหล่านี้มักจะมีอาการปวดหัวไม่มาก แต่ในกรณีที่สายตา 2 ข้างไม่เท่ากัน หรือรายที่มีสายตาเอียงมากๆ จะทำให้ปวดหัว ปวดตาได้ การรักษาจำเป็นต้องตรวจเรื่องสายตาและแก้ไขด้วยการใส่แว่น

5 ต้อหินชนิดเฉียบพลัน

คนไข้มักจะมีอาการปวดหัว ปวดตา ตามัว โดยอาการปวดหัวมักรุนแรง และทานยาแก้ปวดก็ไม่หาย ตาอาจจะแดง เคืองตา น้ำตาไหล ตรวจพบว่าความดันในลูกตาสูงมาก โรคนี้ควรรีบมาพบจักษุแพทย์อย่างเร่งด่วน และต้องได้รับการรักษาให้ทันท่วงที มิฉะนั้นความดันในลูกตาจะกดประสาทตา และถ้าหากทิ้งไว้นานเข้าก็จะกดจนตาบอดได้

การรักษา

– ในกรณีที่ปวดตาจากกล้ามเนื้อตาล้าควรจะพบจักษุแพทย์ก่อน เพื่อดูว่ามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสายตาอื่นๆ หรือไม่ ถ้ามีก็ควรแก้ไขตามคำแนะนำของแพทย์
– ในกรณีที่สายตาปกติดี หรือแก้ไขปัญหาสายตาแล้วยังปวดหัว หรือปวดตาอยู๋ ให้ฝึกการเพ่งของกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถทำเองได้ง่ายๆ โดยถือปากกาหรือดินสอไว้ห่างสุดแขนแล้วเพ่งดูปลายปากกาหรือดินสอนั้น และค่อยๆ เอาปากกาหรือดินสอเข้าหาตัวช้าๆ ขณะเดียวกันก็เพ่งดูปลายปากกาหรือดินสอตลอดเวลา โดยต้องเห็นภาพปลายปากกาหรือดินสอนั้นชัดเจน และเป็นภาพเดียวตลอดเวลา ถ้าหากเห็นเป็น 2 ภาพ หรือเริ่มเห็นไม่ค่อยชัดแสดงว่าตาเริ่มไม่รวมตัว ต้องยืดแขนถอยออกไป จนกระทั่งเห็นภาพชัดใหม่ แล้วเริ่มเพ่งใหม่โดยค่อยๆ เอาปากกาหรือดินสอเข้าหาตัวมากขึ้นๆ โดยทำเช่นนี้ครั้งละ 10-15 รอบ วันละ 3-5 ครั้ง
– การอ่านหนังสือหรือทำงานที่ละเอียดหรือต้องใช้สายตา ให้ทำในที่ๆ มีแสงสว่างมากพอ และควรมีการพักระหว่างทำงานบ้างเป็นช่วงๆ

สรุป

อาการปวดหัวเป็นอาการที่เกิดขึ้นบ่อย และเป็นได้ในทุกเพศทุกวัย โดยมีสาเหตุต่างกันออกไป ส่วนใหญ่มักจะไม่มีอันตราย หายเองได้ โดยการรับประทานยาแก้ปวด แต่อาการปวดหัวบางชนิดอาจจะเป็นอันตรายแก่สายตาหรือถึงขั้นชีวิต ดังนั้น เมื่อมีอาการปวดหัวร่วมกับอาการเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เช่น การมีไข้ คอแข็ง สายตาพร่ามัวลง มีอารมณ์และความประพฤติเปลี่ยนไป มีอาการปวดหัวรุนแรงจนตื่น คลื่นไส้และอาเจียน เป็นต้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง และแก้ไขให้ทันท่วงที

อาการไหลตาย หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

อาการไหลตาย หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

อาการไหลตาย หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

อาการไหลตาย

อาการไหลตาย หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับนั้นถือเป็นภาวะความผิดปกติอย่างหนึ่งของการหายใจที่เกิดขึ้นระหว่างนอนหลับ มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจในส่วนต้น ตั้งแต่บริเวณจมูกลงไปถึงปอดมีความตีบแคบ เนื่องจากกล้ามเนื้อเพดานอ่อนมีความหย่อนยาน จนทำให้เกิดการหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ขณะนอนหลับและมีอาการนอนกรน ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพตามมา เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ รวมทั้งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต โดยจะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ในช่วงอายุก่อน 35 ปี จะพบผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 20 % และอายุ 35 ปี ขึ้นไป จะพบสัดส่วนของผู้ป่วยโรคนี้เป็น 60 % นั่นก็เพราะเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นสมรรถภาพของร่างกายมีการเสื่อมถอยลง กล้ามเนื้อเพดานอ่อนมีความหย่อนยาน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการนอนกรน

อาการไหลตาย หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

อาการไหลตาย หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

อาการที่ต้องสังเกต

ขณะนอนหลับนั้นผู้ป่วยจะมีอาการ แขนขากระตุก ฝันร้าย เช่น ฝันว่าตกจากที่สูง ตกน้ำ ทำให้มีการสะดุ้งตื่นหลับๆ ตื่น ๆ ตรวจพบค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดที่ลดลงต่ำกว่า 90% ส่งผลให้มีคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดี มีการหยุดหายใจไปชั่วขณะ ถึงแม้จะมีระยะเวลาการนอนหลับหลายชั่วโมง เมื่อตื่นนอนมาจะพบอาการนอนไม่อิ่ม อ่อนเพลีย ง่วงนอนระหว่างวัน อารมณ์หงุดหงิด ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตการทำงานประจำวันได้ เนื่องจากขณะนอนหลับนั้น ผู้ที่มีอาการนอนกรนจะมีการหายใจผ่านทางช่องที่แคบ ทำให้มีโอกาสการเสียดสีภายในช่องทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นผลให้มีอาการเจ็บคอ คอแห้ง ปากแห้ง จมูกแห้ง ร่วมด้วยเมื่อตื่นนอน เพื่อลดอาการนอนกรน และช่วยให้ขณะที่นอนหลับหายใจได้สะดวกขึ้น แนะนำการนอนตะแคงขวาเเลี่ยงการนอนตะแคงซ้าย เพื่อป้องกันการกดทับของหัวใจในขณะนอนหลับ

ใครบ้างคือกลุ่มเสี่ยง

1. ผู้ที่มีหน้าแบน คางสั้น คอสั้น ปากเล็ก ลิ้นโต
2. เป็นผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
3. มีโรคอ้วน
4. เป็นผู้ที่มีต่อมทอนซิลโต
5. เป็นผู้ที่มีริดสีดวงจมูก
6. เป็นผู้ที่อายุ 35 ปี ขึ้นไป

การตรวจการนอนหลับ Sleep test

ถือเป็นการตรวจแบบมาตรฐานสากลที่ช่วยในกระบวนการตรวจวิเคราะห์ระบบการทำงานของร่างกายขณะที่คุณนอนหลับ อาทิ ระดับออกซิเจนในเลือด ระบบหายใจ การทำงานของคลื่นไฟฟ้าสมอง กล้ามเนื้อ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ พฤติกรรมขณะนอนหลับ เป็นต้น ซึ่งมีประโยชน์สำหรับประกอบการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea) ทั้งนี้ผู้เข้ารับการตรวจควรจะต้องเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจโดยงดการทานยานอนหลับ งดดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ เลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ

การรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

สำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรนร่วมด้วยกับการหยุดหายใจขณะนอนหลับมากกว่า 10 ครั้งขึ้นไป ถือเป็นข้อบ่งชี้ปัญหาสุขภาพที่อันตรายจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอาการนอนกรนให้หาย โดยทำการแก้ไขระบบทางเดินหายใจที่มีการตีบแคบให้ถ่างขยายกว้างออก ซึ่งจะช่วยฟื้นคืนระบบหายใจให้กลับมาทำงานเต็มประสิทธิภาพ สามารถนำออกซิเจนเข้าสู่ปอดได้ไหลลื่นขึ้น โดยมีกระบวนการวิธีการต่างๆ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะอาการของผู้ป่วยแต่ละบุคคลนั้น และยังมีวิธีอื่นๆ อีก ดังนี้

– การลดน้ำหนัก สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเกิดอาการนอนกรน เกิดจากผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวมาก ส่งผลให้มีการหย่อนของกล้ามเนื้อในช่องคอเกิดขึ้น ทั้งนี้หากสามารถลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ ปัญหาการนอนกรนนี้ก็จะหมดไป

– การใช้เครื่องช่วยหายใจแรงดันบวกซีแพ็พ (CPAP) โดยการรักษาวิธีนี้จะช่วยเปิดขยายทางเดินหายใจส่วนต้น ไม่ให้ตีบแคบขณะนอนหลับ โดยหลักการทำงานของเครื่องนี้ จะเป็นการเป่าลมผ่านท่อสายยาง เข้าสู่จมูกของผู้ป่วยผ่านทางหน้ากากที่สวมครอบไว้ ซึ่งการใช้เครื่องนี้ต้องใช้จำเป็นต้องใช้ทุกครั้งเมื่อคุณนอนหลับ

– การใช้ฟันยาง ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีระดับอาการไม่รุนแรง และต้องได้รับการวินิจฉัยร่วมด้วยกับทันตแพทย์ในการประเมินและจัดทำฟันยางซึ่งมีลักษณะเฉพาะเป็นรายบุคคลไป การใส่ฟันยางนี้จะช่วยให้ทางเดินหายใจส่วนต้นกว้างขึ้น โดยการยื่นขากรรไกรล่างและลิ้นออกมาทางด้านหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้ลิ้นหรือเนื้อเยื่อในลำคอหย่อนอุดกั้นทางเดินหายใจขณะที่เรานอนหลับ

– การจี้คลื่นวิทยุไฟฟ้า เป็นการใช้คลื่นความถี่วิทยุจี้ที่บริเวณโคนลิ้น ช่วยยกกระชับเพดานอ่อน ทำให้ช่องทางเดินหายใจขยายกว้างขึ้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการนอนกรนไม่รุนแรงนัก

– การผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการนอนกรนหรือมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับที่มีความรุนแรง โดยจะเป็นการผ่าตัดนำเอาเนื้อเยื่อที่หย่อนยานบริเวณลิ้นไก่และเพดานอ่อนออก หรือในบางรายมีปัญหาต่อมทอนซิลโต ก็จำเป็นต้องผ่าตัดนำต่อมทอนซิลออก เพื่อช่วยขยายช่องทางเดินหายใจให้กว้างขึ้นอีก