Hifu กับ Botox
Hifu กับ Botox ยังคงเป็นหัตถการยอดนิยม และเป็นตัวเลือกแรก ๆ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอย และมีไขมันส่วนเกินบนใบหน้า เนื่องจากทั้งสองหัตถการนี้ ให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างจะคล้ายกัน แต่ก็ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง ทั้งในเรื่องของหลักการทำงาน , ข้อดี-ข้อเสีย รวมไปถึง ระยะเวลาที่เห็นผลและราคา
สำหรับคนที่มีข้อสงสัยว่า Hifu และ Botox ต่างกันอย่างไร สามารถทำพร้อมกันได้ไหม ระหว่าง Hifu และ Botox อันไหนดีกว่ากัน ในบทความนี้ เราจะมาให้คำตอบพร้อมให้คำแนะนำ เพื่อให้ทุกท่านสามารถนำไปพิจารณาในการตัดสินใจ
Hifu และ Botox ต่างกันอย่างไร อยากลดริ้วรอย ปรับหน้าเรียว ลดแก้มเหนียง เลือกทำแบบไหนถึงจะเห็นผล
ความต่างระหว่าง Hifu และ Botox
- Hifu คือ เครื่องมือยกกระชับผิว ที่สามารถใช้ได้ ทั้งที่บริเวณใบหน้า เหนียง คอ ต้นแขน และต้นขา จะช่วยเพิ่มความกระชับให้ผิวหน้า และลดสัดส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวหน้ายืดหยุ่นมากขึ้น จึงช่วยลดริ้วรอย กระชับรูขุมขน ปรับผิวหน้าให้เรียบเนียนขึ้น และดูสดใสอย่างเป็นธรรมชาติ
ซึ่ง Hifu มีหลักการทำงาน โดยการปล่อยพลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ส่งลงไปในชั้นผิวหนัง Superficial Muscular Aponeurotic System ซึ่งจะเป็นพลังงานคงที่ มีจุดขนาด 0.5 mm.- 1 mm. ที่มีลักษณะคล้ายจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรงใต้ผิว ทำให้ชั้นไขมัน และชั้น SMAS เกิดการหดตัวลง โดยใช้ความร้อนลงใต้ผิว 60°C-70°C ไม่ทำให้ผิวชั้นบนร้อน ไม่ทำให้เกิดผิวไหม้ หลักการคล้าย ๆ กับเนื้อที่เราวางลงบนกระทะร้อนๆ เนื้อจะหดนั่นเอง
- Botox คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า “Botulinum Toxin A” เมื่อฉีดโบท็อกเข้าไปแล้ว ตัวยาจะออกฤทธิ์ โดยจะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานได้ลดลงชั่วคราว ช่วยลดริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียว เห็นกรอบหน้าชัด คนที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อ ก็สามารถฉีดโบท็อก เพื่อให้กรามเล็กลง ให้หน้าดูเรียวขึ้นได้
ซึ่งหลักการทำงานของ Botox คือ เมื่อฉีดโบท็อกเข้าไปบริเวณกล้ามเนื้อ ตัวยาจะออกฤทธิ์จับกับปลายประสาท และทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาท มายังกล้ามเนื้อได้ จึงทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเป็นอัมพาตชั่วคราว กล้ามเนื้อผ่อนคลายลง ริ้วรอยต่างๆ ก็ดูจางลง
Hifu และ Botox อันไหนดีกว่ากัน
- ข้อดีของ Hifu คือ เหมาะกับคนที่กลัวเข็ม มีริ้วรอยน้อย ไม่ลึกมาก สามารถทำได้บ่อยครั้ง หลังทำ Hifu แล้ว สามารถกลับไปทำกิจกรรมอื่นๆ ตามปกติได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลหลังทำทันทีประมาณ 20% และเห็นผลเต็มที่ใน 3-4 เดือน
การทำ Hifu ผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 5-6 เดือน และสามารถมีระยะเวลาถึง 1 ปี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคนไข้สามารถทนเจ็บได้หรือไม่ รวมไปถึงการดูแลหลังทำ Hifu ด้วยครับ หากต้องการให้ผิวกระชับขึ้น ก็สามารถทำ Hifu เพิ่มได้ในทุกๆ 3 เดือน
- ข้อดีของ Botox คือ ช่วยลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น และปรับรูปหน้าที่ได้ผลชัดเจน โดยไม่ต้องผ่าตัดใด ๆ ใช้เวลาในการทำไม่นาน ซึ่งโบท็อกแท้ที่ได้มาตรฐาน สามารถสลายเองได้ 100% ไม่มีสารตกค้าง มีความปลอดภัยสูง โดยโบท็อกลดริ้วรอย จะเริ่มเห็นผลภายใน 3-7 วัน ส่วนโบท็อกลดกราม จะเริ่มเห็นผลภายใน 1-2 เดือน หลังฉีดแล้ว ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณโบท็อกที่ฉีด ตำแหน่งที่ฉีด ความลึกของริ้วรอยเหี่ยวย่น และปริมาณของกล้ามเนื้อ
Hifu และ Botox ควรทำอันไหนก่อน
การเรียงลำดับหัตถการนั้น อยู่ที่ดุลยพินิจของแพทย์แต่ละที่ เนื่องจาก Hifu และ Botox มีหลักการทำงาน และเหมาะกับปัญหาที่แตกต่างกันออกไป เช่น คนที่มีกรามใหญ่ ต้องการลดกรามเพื่อปรับหน้าให้ดูเรียว หมอจะแนะนำให้ฉีดโบท็อก เพื่อลดกรามก่อน แล้วค่อยใช้ Hifu ในการยกกระชับกรอบหน้าขึ้น เก็บริ้วรอยเล็ก ๆ เพื่อเสริมผลลัพธ์ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
Hifu และ Botox ทำพร้อมกันได้ไหม
หากคนไข้ที่ไม่ได้มีปัญหาใบหน้ามาก และต้องการจะทำพร้อมกันทั้ง 2 หัตถการ ก็สามารถทำได้ครับ แต่ในเคสที่ต้องการลดกราม ปรับให้หน้าเรียว หมอจะแนะนำให้ฉีดโบท็อกก่อน จากนั้นเว้นช่วงไป 14 วัน เพื่อให้โบท็อกออกฤทธิ์ แล้วกลับมาทำ Hifu เพื่อช่วยยกกระชับใบหน้าได้