ป้ายกำกับ: ท่องเที่ยว

เที่ยวจอร์เจีย ประเทศที่ค่าครองชีพไม่สูง จอร์เจีย ไปเดือนไหนดี วางแผนก่อนเดินทาง ไม่พลาดทุกไฮไลท์

เที่ยวจอร์เจีย ประเทศที่ค่าครองชีพไม่สูง จอร์เจีย ไปเดือนไหนดี วางแผนก่อนเดินทาง ไม่พลาดทุกไฮไลท์

เที่ยวจอร์เจีย

เที่ยวจอร์เจีย ประเทศที่ค่าครองชีพไม่สูง จอร์เจีย ไปเดือนไหนดี วางแผนก่อนเดินทาง ไม่พลาดทุกไฮไลท์

เที่ยวจอร์เจีย ประเทศที่ค่าครองชีพไม่สูง จอร์เจีย ไปเดือนไหนดี วางแผนก่อนเดินทาง ไม่พลาดทุกไฮไลท์ ถ้าพูดถึงประเทศที่เป็นกระแส ในการท่องเที่ยวโด่งดัง รวมทั้งบริษัททัวร์ ต่างก็แนะนำว่าต้องไปให้ได้ คงหนีไม่พ้น จอร์เจีย (Georgia) ประเทศที่หลายคนอาจยังไม่คุ้นหู ซึ่งข้อดีของประเทศนี้ คือนักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างเรา สามารถไปเที่ยวประเทศจอร์เจียได้ โดยไม่ต้องขอวีซ่า แถมอยู่ได้นานถึง 365 วันเลยทีเดียว ซึ่งจากภาพหรือการรีวิวต่าง ๆ เราก็จะได้เห็นธรรมชาติสุดอลังการ รวมถึงวัฒนธรรม และสถาปัตยกรรม อันสวยงามแปลกตา ชวนให้อยากรู้จัก และวันนี้ เราก็จะชวนมาเก็บข้อมูลว่า จะไป เที่ยวประเทศจอร์เจียเดือนไหนดี รวมถึงที่เที่ยวไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด ใครกำลังวางแผนเที่ยวอยู่

ประเทศที่ค่าครองชีพไม่สูง จอร์เจีย ไปเดือนไหนดี วางแผนก่อนเดินทาง ไม่พลาดทุกไฮไลท์

เที่ยวจอร์เจีย ประเทศที่ค่าครองชีพไม่สูง จอร์เจีย ไปเดือนไหนดี วางแผนก่อนเดินทาง ไม่พลาดทุกไฮไลท์

รู้จักประเทศจอร์เจีย

เริ่มต้น เรามาทำความรู้จัก กับภูมิศาสตร์ทั่วไปของประเทศจอร์เจียกันคร่าว ๆ ก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าควรไป เที่ยวประเทศจอร์เจียเดือนไหนดี จอร์เจียนั้นได้รับการขนานนามว่า “ประเทศสองทวีป” ด้วยความที่ อยู่สุดเขตแดนของ ทวีปเอเชีย และติดกับทวีปยุโรปมาก ดังนั้น ประเทศนี้ จึงมีการผสมผสาน วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมของสองทวีปเอาไว้ด้วยกัน ซึ่งบรรยากาศบ้านเมืองส่วนใหญ่ จะออกไปทางยุโรปมากกว่า

จอร์เจียนั้น มีขอบเขตของประเทศแต่ละด้านติดกับ ทะเลดำ (Black Sea), ตุรกี, อาร์เมเนีย, อาเซอร์ไบจาน และรัสเซีย ทำให้ที่นี่ มีสภาพอากาศที่มีความหลากหลาย โดยแบ่งภูมิอากาศเป็น 2 โซนหลัก คือ ฝั่งตะวันตกที่อยู่ติดกับทะเลดำ และทางฝั่งตะวันออกที่ติดกับประเทศในแถบยุโรป ซึ่งโดยรวมแล้ว ประเทศจอร์เจียมีเทือกเขาคอเคซัส (Caucasus Mountains) และทะเลดำ เป็นตัวแปรหลักของสภาพอากาศ โดยฝั่งทางตะวันตก อากาศจะอบอุ่นกว่าทางด้านตะวันออก แต่ก็สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เพราะอากาศในแต่ละเดือนนั้น จะมีลักษณะใกล้เคียงกัน

สำหรับการท่องเที่ยว เมืองหลัก ๆ ของประเทศที่นักท่องเที่ยวนิยมไป ยกอย่างเช่น ทบิลิซิ, เมืองหลวงของประเทศ, เมืองมิชเคทา, เมืองกูเดาริ, เมืองบาทูมิ, เมืองบอร์โจมิ, เมืองอัพลิสสิค, และเมืองซิกนาลี ซึ่งแต่ละที่นั้น ก็มีความน่าสนใจและสวยงามไม่แพ้กัน

เที่ยวจอร์เจียเดือนไหนดี

1. ฤดูใบไม้ผลิ : มีนาคม – พฤษภาคม
อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 10-24 องศาเซลเซียส ฤดูใบไม้ผลิจะเป็นช่วงที่ดอกไม้ ต้นไม้ในป่าเขา ต่างก็ผลิดอกบานสะพรั่ง เหมาะกับการท่องเที่ยวมาก และเป็นช่วงของ เทศกาลอีสเตอร์ แนะนำการท่องเที่ยวในช่วงนี้ ให้ไปล่องแพชมแม่น้ำ Aragvi ที่สวยที่สุดทางตอนเหนือของเมืองบิลิซี หรือจะไปชมความสวยงามของ วิหารสเวติสโคเวลี, โบสถ์จวารี หรือโบสถ์ไม้กางเขน ที่อยู่บนเนินเขาสุดเท่ ในเมืองมิชเคทา ก็แสนจะน่าประทับใจ

2. ฤดูร้อน : มิถุนายน – สิงหาคม
อุณหภูมิเฉลี่ย จะอยู่ที่ประมาณ 16-31 องศาเซลเซียส ช่วงฤดูร้อนของจอร์เจียนั้น อากาศค่อนข้างร้อน แต่ก็ถือว่าสบาย ๆ สำหรับคนไทยอย่างเรานั้น ช่วงนี้เหมาะสำหรับการไปเที่ยวชมความเขียวขจี ของธรรมชาติทั้งภูเขา ทุ่งดอกไม้ ทุ่งหญ้า เดินป่า หรือจะแวะพักผ่อนสบาย ๆ ในบรรยากาศชายฝั่งทะเล ที่แสนคึกคัก ทั้งกลางวันและกลางคืน ของเมืองทบิลิซิ หรือเมืองบาทูมี ก็น่าสนุกไม่แพ้กัน

3. ฤดูใบไม้ร่วง : กันยายน – พฤศจิกายน
อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 4-20 องศาเซลเซียส ถ้าจะให้แนะนำว่าควรมา เที่ยวประเทศจอร์เจียเดือนไหนดี ฤดูใบไม้ร่วงก็เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่เหมาะกับการท่องเที่ยวมาก ๆ เพราะอากาศเย็นสบายกำลังดี บรรยากาศก็สวยงาม ด้วยใบไม้เปลี่ยนสีตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วเมือง เหมาะกับการเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพของภูเขา ต้นไม้ รวมทั้ง มีโอกาสเข้าร่วม เทศกาลทบิลิโซบา ซึ่งเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยว ที่คุณจะได้เต็มอิ่มกับการเต้นรำ ปาร์ตี้สนุก ๆ ได้ชิมอาหาร และไวน์รสเลิศตลอดงานเทศกาล ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนตุลาคมของทุก ๆ ปี

4. ฤดูหนาว : ธันวาคม – กุมภาพันธ์
อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ -3 ถึง 8 องศาเซลเซียส เป็นช่วงที่หนาวสุด ๆ ของประเทศ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการไป ทัวร์ประเทศจอร์เจีย เพื่อชมอลังการของ เทือกเขาคอเคซัส ที่ปกคลุมด้วยทะเลหิมะ หรือจะไปเล่นสกี ฮอกกี้ เลื่อนหิมะ และสโนว์บอร์ดสุดมันส์ ที่เมืองสกีรีสอร์ทขึ้นชื่อของประเทศอย่าง เมืองกูเดาริ และเมืองบอร์โจมิ

การเข้าที่พัก ขั้นตอนในการเข้าพักในโรงแรมและรีสอร์ท เข้าพักอย่างไร ให้ถูกวิธี

การเข้าที่พัก ขั้นตอนในการเข้าพักในโรงแรมและรีสอร์ท เข้าพักอย่างไร ให้ถูกวิธี

การเข้าที่พัก

การเข้าที่พัก ขั้นตอนในการเข้าพักในโรงแรมและรีสอร์ท เข้าพักอย่างไร ให้ถูกวิธี

การเข้าที่พัก ขั้นตอนในการเข้าพักในโรงแรมและรีสอร์ท เข้าพักอย่างไร ให้ถูกวิธี สำหรับคนที่มักจะเดินทางไปท่องเที่ยว และพักแรม ตามโรงแรม หรือรีสอร์ท อยู่บ่อย ๆ จำเป็นที่จะต้องรู้ เกี่ยวกับขั้นตอน ในการเข้าพักอย่างละเอียด รวมไปถึง สิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ และข้อควรระวังต่าง ๆ ในการเข้าพักในสถานที่ดังกล่าว ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหา ตามมานั่นเอง โดยมีรายละเอียด ที่จะต้องรู้ และทำความเข้าใจ มีดังนี้

ขั้นตอนในการเข้าพักโรงแรมและรีสอร์ท

การเข้าที่พัก ขั้นตอนในการเข้าพักในโรงแรมและรีสอร์ท เข้าพักอย่างไร ให้ถูกวิธี

1. การจองห้องพัก

เริ่มต้นจาก การจองห้องที่พักก่อน โดยสามารถจอง ได้อยู่สองวิธี คือ การจองห้องพัก โดยตรงผ่านทางโทรศัพท์ หรือการไปจองที่โรงแรม และการจองผ่านทางเว็บไซต์ ที่เปิดให้บริการรับจองของสถานที่นั้น ๆ นั่นเอง ซึ่งก็มีวิธีการจองดังนี้

– การจองโดยตรง คือ ให้โทรศัพท์ไปยังโรงแรม หรือรีสอร์ท ที่ต้องการ พร้อมแจ้งรายละเอียดที่สำคัญ ๆ ให้ชัดเจน เช่น เข้าพักกี่คน ต้องการห้องพักแบบไหน อยากได้บริการเสริมอะไรบ้าง วันที่เข้าพัก ข้อมูลการติดต่อ และอื่นๆ ที่ทางพนักงานสอบถาม ส่วนใครที่สะดวก เดินทางไปโรงแรม หรือรีสอร์ทโดยตรง ก็สามารถไปจอง กับทางโรงแรมได้เลย ซึ่งก็มีข้อดี ตรงที่เราสามารถดูห้องจริงได้ด้วย

– การจองผ่านเว็บไซต์ที่รับจอง โดยในปัจจุบันนั้น ก็มีเว็บไซต์ที่เปิดให้จองห้องพักเป็นจำนวนมาก สามารถจองผ่านเว็บไซต์เหล่านั้นได้เลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องดูด้วยว่า เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือมากแค่ไหน เพราะอาจเจอกับเว็บไซต์ที่เป็นเว็บมิจฉาชีพได้นั่นเอง

2. การเช็คอิน

เมื่อถึงวันเข้าพัก ให้เข้าไปที่ประชาสัมพันธ์ หรือล็อบบี้ เพื่อแจ้งชื่อ ที่ได้ทำการจองห้องพักเอาไว้ พร้อมกับยื่นบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต เพื่อให้พนักงาน ตรวจสอบข้อมูล และกรอกรายละเอียด ของผู้เข้าพักลงไปในระบบของโรงแรม รวมถึงเบอร์โทรศัพท์ และที่อยู่ เพื่อให้ติดต่อได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ทางโรงแรม ก็อาจจะขอเงินประกันเพิ่มเติม เพื่อป้องกันห้องพักเสียหาย ซึ่งจะเป็นจำนวนเงินมากน้อยเท่าใด ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงแรมด้วย

3. การเช็คเอาท์

สำหรับการเช็คเอาท์ ออกจากโรงแรม หรือรีสอร์ทที่พัก จะต้องเช็คเอาท์ ให้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ เพราะหากเกินเวลาก็อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ดังนั้น เราจึงควรเช็คเวลาที่ต้องเช็คเอาท์ให้ดี และที่สำคัญต้องจัดเตรียมเสื้อผ้า ข้าวของ ให้เรียบร้อย ก่อนถึงเวลาเช็คเอาท์ด้วย จะได้ไม่ลืมของเอาไว้

สิ่งที่ควรทำเมื่อเข้าพัก

1. ควรอ่านกฎของโรงแรม และทำตามกฎอย่างเคร่งครัด เพราะหากทำผิดกฎ อาจจะต้องเสียค่าปรับเพิ่มเติม และอาจมีปัญหาตามมาได้นั่นเอง
2. ตรวจสอบการล็อคประตูให้ดี ว่าสามารถใช้งานได้ปกติหรือไม่ คือจะต้องล็อคได้อย่างแน่นหนา และไม่มีการชำรุดเสียหาย ทั้งนี้หากมีความผิดปกติใด ๆ ที่ที่ล็อคประตู ควรแจ้งให้พนักงานของทางโรงแรมมาแก้ไขให้ทันที
3. ควรตรวจสอบปลั๊กไฟในห้อง เพื่อป้องกันไฟช็อตหรือไฟฟ้าลัดวงจร ที่อาจจะก่อให้เกิดไฟไหม้ได้
4. ห้ามเปิดประตูห้อง ให้กับคนแปลกหน้าอย่างเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณ และคนในครอบครัวเอง
5. ควรชาร์จแบตโทรศัพท์ ให้เต็มอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้พร้อมใช้งานตลอดเวลา และต้องพกติดตัวไปด้วยทุกครั้ง หากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จะได้ติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทัน

สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเข้าพัก

1. ทำเสียงดัง เอะอะ โวยวาย เพราะโรงแรมรีสอร์ทส่วนใหญ่นั้น มักจะมีผู้เข้าพักเป็นจำนวนมาก การทำเสียงดังโวยวาย จึงอาจจะไปรบกวนห้องข้าง ๆ ได้ ซึ่งก็อาจจะเกิดปัญหา ความไม่พอใจกันตามมานั่นเอง
2. ลักลอบนำสัตว์เข้าห้องพัก โดยโรงแรม หรือรีสอร์ทส่วนใหญ่ มักจะมีกฎข้อห้าม ไม่ให้นำสัตว์เข้าห้องพักอย่างเด็ดขาด ซึ่งถ้าหากนำเข้าไปแล้วถูกจับได้ ก็จะต้องเสียค่าปรับ ตามที่ทางโรงแรมกำหนด
3. วางของมีค่าไว้นอกกระเป๋า จะทำให้เสี่ยงต่อการถูกลักขโมย ลืมเก็บ หรืออาจทำหล่นหายได้ ดังนั้น ทางที่ดีควรเก็บของมีค่า ไว้ในกระเป๋าตลอดเวลาจะดีกว่า
4. หยิบของในห้องติดมือกลับไป การทำแบบนี้ แม้ว่าจะเป็นของ ที่ไม่ได้มีมูลค่ามากมาย ก็เข้าข่ายว่า เป็นการลักขโมยเช่นกัน เพราะฉะนั้น ไม่ควรหยิบของในห้องพัก กลับไปด้วยอย่างเด็ดขาด แม้จะเป็นของชิ้นเล็ก เช่น สบู่ หรือแชมพู ก็ตาม

เที่ยวทะเล ท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ข้อแนะนำสำหรับการปฏิบัติตนในการไปท่องเที่ยวที่ทะเล

เที่ยวทะเล ท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ข้อแนะนำสำหรับการปฏิบัติตนในการไปท่องเที่ยวที่ทะเล

เที่ยวทะเล

เที่ยวทะเล ท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ข้อแนะนำสำหรับการปฏิบัติตนในการไปท่องเที่ยวที่ทะเล

เที่ยวทะเล ท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ข้อแนะนำสำหรับการปฏิบัติตนในการไปท่องเที่ยวที่ทะเล ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีวันหยุดเยอะ ซึ่งตรงกับฤดูร้อน หลายครอบครัวจึงวางแผนที่จะไปท่องเที่ยวตามจังหวัดต่าง ๆโดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่ติดทะเลทางภาคตะวันออก และภาคใต้ เพื่อชมความงามของทัศนียภาพชายทะเล หาดทราย เกาะต่างๆ ว่ายน้ำดูปลา และปะการังใต้ท้องทะเล รวมถึงพักผ่อนคลายร้อน ซึ่งการไปท่องเที่ยวทะเล มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติภัยทางน้ำได้เช่นกัน เราจึงมีข้อแนะนำสำหรับการปฏิบัติตนในการไปท่องเที่ยวทะเลอย่างปลอดภัย มาให้ได้อ่านกัน

ท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ข้อแนะนำสำหรับการปฏิบัติตนในการไปท่องเที่ยวที่ทะเล

เที่ยวทะเล ท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ข้อแนะนำสำหรับการปฏิบัติตนในการไปท่องเที่ยวที่ทะเล

1. ก่อนออกเดินทาง

ตรวจสอบเส้นทาง และศึกษาสภาพอากาศของแหล่งท่องเที่ยว ที่เราต้องการจะไปก่อน โดยติดตามพยากรณ์อากาศอย่างสม่ำเสมอ หากมีประกาศแจ้งเตือน เกี่ยวกับคลื่นพายุลมแรง ควรงด หรือเลื่อนการเดินทางออกไปก่อน ตรวจสอบสภาพแหล่งท่องเที่ยว หากเป็นบริเวณที่มีคลื่นสูง มีทรายดูด เป็นที่อาศัยของสัตว์มีพิษ เคยเกิดคลื่นน้ำทะเลดูด หรือคลื่นซัดฝั่งอย่างรุนแรง ก็ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปเล่นน้ำบริเวณดังกล่าว พร้อมกับจัดเตรียมสัมภาระที่จำเป็นไปด้วย เช่น ยารักษาโรค ห่วงยาง ชูชีพ เป็นต้น เพื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน

2. ขณะเล่นน้ำทะเล

– ไม่ควรเล่นน้ำหลังรับประทานอาหาเสร็จใหม่ ๆ เพราะจะทำให้เป็นตะคริวที่ท้อง อาจทำให้จมน้ำได้ ควรพักประมาณ 1 ชั่วโมงหลังทานอาหาร
– เล่นน้ำในบริเวณที่ปลอดภัย ห้ามเล่นน้ำบริเวณน้ำลึก บริเวณที่มีคลื่นลมแรง และมีโขดหินอย่างเด็ดขาด โดยสังเกตธงที่ปักแสดงความลึกของระดับน้ำ หากเป็นธงสีเขียว แสดงว่าสามารถเล่นน้ำได้ หากเป็นสัญลักษณ์ธงสีแดง หนึ่งอัน แสดงว่าอันตราย แต่ถ้าเป็นธงสีแดง 2 อัน แสดงว่าพื้นที่นั้นอันตรายมาก ส่วนธงสีเหลือง แสดงว่าให้ระวัง ไม่ควรเล่นน้ำตามลำพัง หากว่ายน้ำไม่เป็น หรือว่ายน้ำไม่แข็งแรง ควรสวมใส่เสื้อชูชีพ หรือห่วงยาง เพื่อป้องกันการจมน้ำ
– ห้ามว่ายน้ำเข้าใกล้เรือ ขณะที่มีเรือกำลังแล่นอย่างเด็ดขาด เพราะอาจถูกเรือชนหรือใบพัดเรือบาดเอา
– ไม่ปล่อยให้เด็กเล่นน้ำตามลำพังเด็ดขาด ผู้ปกครองควรดูแลอย่างใกล้ชิด อย่าให้คลาดสายตา เพราะหากเด็กถูกคลื่นซัด หรือเป็นตะคริว จะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้ปลอดภัยได้

3. การปฏิบัติตนในสถานการณ์ฉุกเฉิน

หากถูกคลื่นทะเลดูด ให้ว่ายน้ำเลี่ยงจากจุดที่คลื่นทะเลดูด และรีบว่ายเข้าหาฝั่งทันที หรือกรณีถูกคลื่นทะเลซัดอย่างรุนแรง ห้ามว่ายสวนกระแสน้ำ ให้ว่ายขนานกับชายฝั่ง จะช่วยให้พ้นจากกระแสน้ำนั้นได้

4. การดำน้ำชมปะการัง

หากขาดความระมัดระวัง ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ จึงมีข้อปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย ดังต่อไปนี้

– ตรวจสอบสภาพอากาศ และคลื่นลม ในบริเวณที่จะไปดำน้ำ หากคลื่นลมรุนแรงเกินไป ก็ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะดำน้ำในบริเวณดังกล่าว
– ให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ และข้อห้ามของพื้นที่ที่เข้าไปดำน้ำทุกครั้ง
– ในการดำน้ำบริเวณลึก จะต้องมีการเรียนดำน้ำอย่างถูกวิธี และเลือกใช้อุปกรณ์ดำน้ำที่เหมาะสมกับการใช้งาน ห้ามดำน้ำ ขึ้น – ลง อย่างรวดเร็ว เพราะจะทำให้ก๊าซภายในปอดขยายตัวอย่างรวดเร็ว และเข้าไปอยู่ ในเลือด โดยเฉพาะช่วงขึ้นจากน้ำ จนอาจทำให้เลือดขึ้นไปอุดตันสมอง จนเกิดภาวะน็อกน้ำทะเล ซึ่งจะทำให้มีโอกาสเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาตได้
– กรณีถูกกระแสน้ำซัดอย่างแรง อย่าว่ายสวน หรือว่ายทวนน้ำ จะทำให้เหนื่อยเราง่าย ให้ใช้วิธีลอยตัวไปตามกระแสน้ำ รอจนกว่าจะมีเรือมารับ
– ไม่ควรดำน้ำตามลำพัง ควรมีกลุ่มเพื่อนลงไปดำน้ำด้วยกัน เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉิน จะได้มีคนคอยช่วยเหลือ และพยายามเกาะกลุ่มไว้ เพื่อไม่ให้พลัดหลงกัน และควรหยุดดำน้ำทันที หากเริ่มมีกระแสน้ำพัด ห่างออกจากฝั่งไปเรื่อย ๆ หรือมีฝนตั้งเค้า และเริ่มมีคลื่นลมที่รุนแรงขึ้น

บทสรุป ท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย

จะเห็นได้ว่า การท่องเที่ยวทางทะเล มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติภัยทางน้ำ ได้หลากหลายรูปแบบมาก ดังนั้น ก่อนเดินทาง ควรตรวจสอบสภาพอากาศ และสภาพพื้นที่ที่จะไป และควรจัดเตรียมอุปกรณ์ และสิ่งของที่จำเป็น เลือกสถานที่ในการเล่นน้ำ หรือดำน้ำในบริเวณที่ปลอดภัย ปฏิบัติตามกฎระเบียบ หรือคำแนะนำของสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญ หากนำเด็กไปด้วย ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้เด็กเล่นน้ำตามลำพัง หรือปล่อยให้ละสายตาอย่างเด็ดขาด เพื่อให้การท่องเที่ยวทางทะเล เป็นการพักผ่อนคลายร้อนที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน และปลอดภัยต่อตนเอง และคนที่เรารัก

อยากเดินป่า ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ให้เหมือนนักเดินป่ามืออาชีพและปลอดภัยต่อตัวเองที่สุด

อยากเดินป่า ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ให้เหมือนนักเดินป่ามืออาชีพและปลอดภัยต่อตัวเองที่สุด

อยากเดินป่า

อยากเดินป่า ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ให้เหมือนนักเดินป่ามืออาชีพและปลอดภัยต่อตัวเองที่สุด

อยากเดินป่า ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ให้เหมือนนักเดินป่ามืออาชีพและปลอดภัยต่อตัวเองที่สุด กิจกรรมเดินป่านั้นเป็นอีกกิจกรรมท่องเที่ยวสนุก ๆ ที่นอกจากจะทำให้เราได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดแล้ว ยังให้อะไรกับเรามากกว่าที่คิด ทั้งได้ลองเรียนรู้การเอาชีวิตรอดในป่า ได้เจอเพื่อนใหม่ ได้เห็นธรรมชาติในมุมมองที่แตกต่างออกไป เป็นต้น แต่ก็มีหลายคนที่ยังกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร วันนี้ก็เลยนำเอาข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมตัวไปเที่ยวเดินป่ามาฝากกัน

ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ให้เหมือนนักเดินป่ามืออาชีพและปลอดภัยต่อตัวเองที่สุด

อยากเดินป่า ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ให้เหมือนนักเดินป่ามืออาชีพและปลอดภัยต่อตัวเองที่สุด

1. ศึกษาเกี่ยวกับเส้นทางเดินป่าที่จะไปเที่ยว

ในเมืองไทยมีเส้นทางเดินป่าเยอะแยะมากมายทั่วทุกภาค ซึ่งจะเปิดให้เข้าเที่ยวชมในช่วงเวลาที่แตกต่างกันออกไป บางเส้นทางน่าเที่ยวเฉพาะหน้าฝน บางเส้นทางก็เที่ยวได้เฉพาะหน้าหนาว ก็ต้องเช็กกับทางเจ้าหน้าที่ที่ดูแลก่อนเดินทาง แล้วก็ศึกษาเกี่ยวกับเส้นทางนั้น ๆ เช่น ดูว่าระยะทางกี่กิโลเมตร ใช้เวลาเดินนานไหม ลักษณะเป็นทุ่งหญ้า ป่าไผ่ หรือป่าดงดิบ ต้องข้ามลำธารลำห้วยหรือไม่ มีจุดพักระหว่างทางหรือเปล่า ฯลฯ เพราะจะมีผลต่อการเตรียมตัว และการเตรียมข้าวของต่าง ๆ

2. เตรียมร่างกายให้พร้อม

เมื่อหาข้อมูลต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องมาเตรียมร่างกายให้พร้อม ดูว่าตัวเองมีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ โรคที่ไม่แนะนำให้เดินป่า ก็คือ โรคหัวใจ และโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด ความดันสูง-ต่ำ โรคหอบหืด โรคลมชัก โรคที่เกี่ยวกับข้อเข่า เช่น เกาต์ เป็นต้น หากพบว่าตัวเองไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นอันตราย คราวนี้ก็มาเตรียมร่างกายให้พร้อม แนะนำให้ออกกำลังกายก่อนไปเที่ยวอย่างน้อยควรเริ่มออกก่อนสัก 2 สัปดาห์ – 1 เดือน เน้นคาร์ดิโอ เพื่อให้หัวใจได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ฝึกเดินขึ้น-ลงบันไดให้ชินเพราะซ๋ษบางเส้นทางจะเป็นการเดินขึ้นเขาชัน จะได้ไม่ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบ และไม่เกิดอาการเจ็บป่วยระหว่างท่องเที่ยว หรือหลังจากกลับมาจากการเดินป่าแล้ว

3. ศึกษาสภาพอากาศ

ก่อนเดินทางทุกครั้งควรตรวจสอบสภาพอากาศก่อน รวมทั้งเช็กกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ถึงสถานการณ์สภาพอากาศในปัจจุบันเพื่อการเตรียมตัวที่ถูกต้อง จะได้เตรียมเสื้อผ้า กระเป๋าเดินทาง และอุปกรณ์ให้ครบถ้วนตามสภาพอากาศนั้นๆ

4. การเตรียมกระเป๋าเดินทาง

กระเป๋าที่ใช้ควรจะเป็นแบบกันน้ำ หรือมี Rain Cover แต่ถ้าสู้ราคาไม่ไหว ก็ขอแนะนำให้เอาของใส่ถุงพลาสติกก่อนที่จะแพ็กลงกระเป๋า เพื่อป้องกันข้าวของและเสื้อผ้าเปียกฝนหรือน้ำค้าง

5. การเตรียมอุปกรณ์ค้างแรม

หากต้องไปค้างแรมด้านบนเขา ให้สอบถามเจ้าหน้าที่ให้แน่นอนว่าข้างบนนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง เพราะบางเส้นทางก็ไม่ได้มีอะไรเตรียมไว้เลย และเราจะต้องจ้างลูกหาบนำขึ้นไปทั้งหมด กรณีที่เราต้องเตรียมอุปกรณ์ค้างแรมเอง สิ่งที่ควรเตรียมเบื้องต้น เช่นอุปกรณ์กางเต็นท์, ถุงนอน, น้ำสะอาด, หรืออาหารกระป๋อง, อุปกรณ์หุงข้าว/ต้มน้ำ (ปกติเจ้าหน้าที่จะมีหม้อสนามติดตัว), จาน-ชาม, ทิชชูเปียกและแห้ง, น้ำยาล้างจาน, มีดพกเล่มเล็ก เป็นต้น

6. สิ่งของจำเป็นที่ควรพกไป

สิ่งของที่จำเป็นสำหรับการเดินป่า เช่น เสื้อผ้า 2-3 ชุด, เสื้อกันลม/กันฝน, กระบอกเก็บความร้อน/เย็น, ยารักษาโรคประจำตัวและยาสามัญประจำบ้าน, อุปกรณ์ปฐมพยาบาล, สเปรย์ฉีดคลายกล้ามเนื้อ, สเปรย์ฉีดกันยุง/ทาก/คุ่น, ไฟฉาย, ไฟแช็ก, ถุงดำ 1-2 ใบ, กล่องข้าว+ช้อน, ทิชชูแห้ง-เปียก, อุปกรณ์อาบน้ำ, น้ำดื่มสะอาดอย่างน้อย 2 ลิตร (แบ่งดื่มระหว่างทาง + ทำอาหาร), อาหารสำหรับการพักค้างแรม (กรณีไม่มีร้านค้า/เจ้าหน้าที่ไม่ได้จัดเตรียมไว้ให้), ที่กรองน้ำเล็ก ๆ (กรณีต้องกรอกน้ำในป่า), เต็นท์, ถุงนอน เป็นต้น

7. เดินป่าให้ปลอดภัย

เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วก็มาถึงวันเดินทางจริง ก่อนที่เดินเข้าสู่เส้นทางเดินป่าระยะไกล ส่วนใหญ่แล้วเจ้าหน้าที่จะให้คำแนะนำกับนักท่องเที่ยวถึงการปฏิบัติตัวเบื้องต้นขณะที่อยู่ในป่า ให้ตั้งใจฟังและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพราะทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองทั้งสิ้น หากเป็นระยะทางไกล ๆ หรืออันตรายมาก ๆ ควรจัดเตรียมกระเป๋าให้รอบคอบ ให้นำเฉพาะสิ่งของจำเป็นลงกระเป๋าจะได้ไม่หนักและไม่ปวดไหล่ ถ้าอากาศค่อนข้างร้อน ให้เอาน้ำแดง/น้ำหวาน+น้ำแข็งใส่กระบอกเก็บความเย็นที่เตรียมมา เอาไว้จิบระหว่างวัน และพกช็อกโกแลตสัก 1-2 แท่งติดกระเป๋า เอาไว้กินเพิ่มพลังงาน

การเดินให้ค่อย ๆ เดิน ไม่ต้องเร่งรีบ หายใจเข้า-ออกยาว ๆ พยายามเกาะกลุ่มกับเพื่อนร่วมทางเข้าไว้ ไม่เดินออกนอกเส้นทางที่เจ้าหน้าที่แนะนำ ก่อนจะนั่งพักบนพื้นควรหาถุงดำมารองก้น หรือนั่งบนพื้นโล่ง ๆ ที่ไม่มีหญ้ารก และหลีกเลี่ยงการนั่งบนขอนไม้ เพราะอาจมีแมลงตัวเล็ก ๆ ที่เรามองไม่เห็นเกาะอยู่ อาจจะกัดต่อยทำให้เจ็บปวด หรือแพ้ได้  ทั้งนี้หากรู้สึกว่าไม่ไหว หรือหายใจไม่ทัน หรือเดินต่อไม่ได้แล้ว ให้รีบแจ้งเพื่อนร่วมทีมและเจ้าหน้าที่ทันที อย่าฝืน เพราะอาจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้

การท่องเที่ยวแบบช้าๆ ค่อยเป็น ค่อยไป ค่อยดื่มด่ำ

การท่องเที่ยวแบบช้าๆ ค่อยเป็น ค่อยไป ค่อยดื่มด่ำ

การท่องเที่ยวแบบช้าๆ ค่อยเป็น ค่อยไป ค่อยดื่มด่ำ

การท่องเที่ยวแบบช้าๆ

การท่องเที่ยวแบบช้าๆ หรือ Slow tourism เป็นการท่องเที่ยวแบบไม่เร่งรีบ นักท่องเที่ยวมักจะใช้เวลาอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่ ยาวนานขึ้น เป็นการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นโดยเฉพาะคนในเมืองใหญ่ ซึ่งอาจเกิดจากนักท่องเที่ยวบางส่วนต้องการต้องการการใช้ชีวิตที่ไม่เร่งรีบ หลีกหนีความวุ่นวายและจำเจในเมือง เพื่อแสวงหาการพักผ่อนที่แท้จริงผ่านกิจกรรมต่างๆของแหล่งท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวอาจใช้เวลาและพักผ่อนอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวให้นานมากขึ้น เพื่อที่จะได้มองเห็นสิ่งสวยงามของสิ่งใกล้ตัวในสถานท่องเที่ยวมากขึ้น โดยมีคำแนะนำง่ายๆ คือเลือกพักในแหล่งท่องเที่ยวให้นานขึ้น และเริ่มวางแผนท่องเที่ยวไปยังสถานที่รอบๆ ที่พัก เรียนรู้กับวิถีชีวิต การอาหาร ทำความรู้จักกับผู้คนในพื้นที่ ซึ่งเราเชื่อว่านักท่องเที่ยวจะสามารถพบเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ ซึ่งน้อยนักคนจะได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์แบบนี้อย่างแน่นอน

ค่อยเป็น ค่อยไป ค่อยดื่มด่ำ ตามแนวคิด 10s

การท่องเที่ยวแบบช้าๆ ค่อยเป็น ค่อยไป ค่อยดื่มด่ำ

Slow activity

คือ การประกอบกิจกรรมที่ไม่เร่งรีบจนเกินไป แต่ใช้เวลาอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวแต่ละแห่งยาวนานมากขึ้น หรืออาจมีการพักแรมในแหล่งท่องเที่ยว เน้นกิจกรรมที่ปลอดภัย มุ่งเน้นกิจกรรมในการผ่อนคลายทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ เช่น สปา โยคะ การนวด อาหารเพื่อสุขภาพ การปั่นจักรยานเพื่อชมวิถีชีวิตของคนในพื้นที่

Slow logistics

คือ กิจกรรมการเดินทาง การขนส่งที่ไม่เร่งรีบจนเกินไป โดยเน้นความปลอดภัยในการเดินทาง ยานพาหนะและการให้บริการที่เกี่ยวข้อง ควรมุ่งไปการขนส่งที่สะอาดถูกสุขลักษณะ ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและนักท่องเที่ยวน้อยที่สุดรวมถึงการส่งเสริมการใช้รถสาธารณะ และการส่งเสริมการใช้ยานพาหนะของท่องถินเพื่อกระจายรายได้อีกด้วย

Slow food

คือ การประกอบอาหารที่ประณีตพิถีพิถัน เป็นอาหารที่มีคุณภาพ สด สะอาดและปลอดภัย ทั้งในด้านวัตถุดิบเครื่องปรุง เครื่องครัวและวิธีการประกอบอาหาร และการส่งเสริมการนำวัตถุดิบในท้องถิ่นมาใช้ในการประกอบอาหารด้วย

Slow stay

คือ การพักค้างแรมเป็นระยะเวลานาน โดยอาจจะมากกว่า 1 คืน ซึ่งจะเน้นไปที่การพักผ่อนในแหล่งท่องเที่ยวท่ามกลางธรรมชาติหรือแหล่งชุมชน ที่เราจะสามารถซึมซับบรรยากาศ และประกอบกิจกรรมร่วมไปกับท้องถิ่นได้

Slow place/city

คือ สถานที่ท่องเที่ยว ชุมชนหรือเมืองขนาดเล็กที่มีเรียบง่าย มีความเป็นธรรมชาติสูง มีความสงบ ผู้คนมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไปในแต่ละท่องถิ่นนั้นๆ แนวคิดนี้ควรมุ่งเน้นการรักษาอัตลักษณ์วัฒนธรรมของท้องถิ่น มีการจัดการวางแผนที่ดีเคียงคู่ไปกับการท่องเที่ยว

Slow money

คือ จะเป็นการใช้จ่ายที่ไม่เร่งรีบ จ่ายในส่วนที่สมควรจะจ่าย เน้นการใช้สอยที่ใช้เวลาที่ยาวนาน ไม่เน้นความฟุ่มเฟือย การจับจ่ายควรมุ่งไปสู่ท่องถิ่นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เน้นการสร้างรายได้แก่คนในท้องที่ ขณะเดียวกันแหล่งท่องเที่ยวก็ไม่ควรเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว สินค้าและบริการควรเป็นสิ่งที่มาจากชุมชุนไม่ขัดแย้งกับเอกลักษณ์เฉพาะของท้องที่

Slow Development

คือ การพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เน้นการพัฒนาขนาดเล็กและยั่งยืนภายใต้การรองรับของพื้นที่ โดยไม่ควรปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงสภาพเดิมของพื้นที่เลย

Slow accommodation

คือ สถานที่พักแรมที่มีความสงบและปลอดภัยอยู่ห่างไกลจากแหล่งมลภาวะต่างๆ ที่เป็นพิษ โดยจะเป็นที่พักขนาดเล็กและเรียบง่าย มีการจัดการที่พักแรมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการออกแบบให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมแต่ละสถานที่ท่องเที่ยว

Slow life

คือ การใช้ชีวิตของนักท่องเที่ยวท่ามกลางความสงบเน้นการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ ดั้งเดิมของพื้นที่ นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสถึงการใช้ชีวิตของคนในแหล่งท่องเที่ยว เน้นการท่องเที่ยวและการพักผ่อนทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เน้นการท่องเที่ยวที่เมืองใหญ่ไม่สามารถตอบสนองได้

Slow energy

คือ การประกอบกิจกรรมการท่องเที่ยวที่ประหยัดพลังงาน ทรัพยากรและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งในด้านการขนส่ง ที่พักแรม กิจกรรมการท่องเที่ยว และการบริการในด้านอื่นๆจากแนวคิดของการท่องเที่ยวแบบช้าๆ ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป ค่อยๆดื่มด่ำ (Slow tourism) เราจะเห็นได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวที่เน้นความเรียบง่าย สงบ มุ่งเน้นกิจกรรมที่เป็นมิตรและใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม เน้นการท่องเที่ยวที่เข้าหาธรรมชาติ สัมผัสกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม อัตลักษณ์ของท้องถิ่นนั้น และมุ่งการกระจายรายได้ไปสู่ท่องถิ่น ซึ่งการท่องเที่ยวในรูปแบบนี้กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การวางแผนและการพัฒนาท่องเที่ยวแบบนี้ จึงควรเลือกพื้นที่ที่เหมาะสม เน้นความเป็นดั้งเดิมให้เหมาะสมกับสภาพวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของท้องที่ มีการจัดการกับผลกระทบด้านต่างๆร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ซึ่งถ้าหากเราสามารถทำได้การพัฒนาการท่องเที่ยวก็จะนำไปสู่ความยั่งยืนอย่างแน่นนอน

เที่ยวคนเดียวให้ปลอดภัย ง่ายๆแค่ 5 ขั้นตอน

เที่ยวคนเดียวให้ปลอดภัย ง่ายๆแค่ 5 ขั้นตอน

เที่ยวคนเดียวให้ปลอดภัย

   การเที่ยวคนเดียวให้สนุก การอยู่คนเดียว แม้จะฟังดูน่ากลัว แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป วันนี้เรามาเอาใจคนโสด คนเหงา และ เหล่ามนุษย์ สาย Solo ทั้งหลาย อาจจะมีแพลนเที่ยว แต่ไม่มีคนไปด้วย ด้วย ทริคการ เที่ยวคนเดียวให้ปลอดภัย ปลอดภัยทั้งกระเป๋าตัง ปลอดภัยทั้งตัวคุณ ไปคนเดียวไม่ต้องแบ่งใคร ง่ายๆเพียงแค่ 5 ขั้นตอน เราได้รวบรวมมาให้ทุกคนแล้ว ขั้นตอนง่ายๆ ที่จะทำให้เรา สามารถ เป็น Solo Traveling ได้ง่ายๆไม่ต้องง้อคู่ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลยครับ

ไปคนเดียว ให้ปลอดภัย ง่ายๆแค่ 5 ขั้นตอน

เที่ยวคนเดียวให้ปลอดภัย ง่ายๆแค่ 5 ขั้นตอน

1. เลือกสถานที่ท่องเที่ยว

          ก่อนจะเดินทางไปท่องเที่ยวที่ใดก็ตาม ควรศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียดก่อน โดยเฉพาะเรื่องศิลปวัฒนธรรม บรรทัดฐานของสังคมที่เราจะไป อะไรสามารถทำได้ อะไรไม่สามรถทำได้ สถานที่ไหนที่ไม่ควรจะไป เพราะมันอันตรายเกินไป รวมถึงสถานที่ที่เราจะขอความช่วยเหลือ ในกรณีที่เกิดเรื่องร้ายแรงที่สุด หากเป็นต่างประเทศ ควรต้องรู้ว่าสถานทูตไทยประจำต่างประเทศนั้น ๆ อยู่ที่ไหน เบอร์ติดต่อเบอร์อะไร สำหรับผู้หญิงที่ชอบเดินทางเที่ยวคนเดียว อย่าลืมหาข้อมูลในการรับมือกับปัญหาล่วงละเมิดทางเพศที่อาจจะเกิดกับตัวไว้ด้วย

ให้เช็คความต้องการ ความอยากเที่ยวของตัวเอง ว่าช่วงนั้นอยากไปเที่ยวที่ไหน ทะเล ภูเขา ถ้าเลือกได้แล้ว จากนั้นก็เลือกจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ ว่ามีจังหวัดไหนบ้าง แล้วก็เลือกตามที่เราชอบได้เลย ไปคนเดียวอาจจะเลี่ยงหลีกการเดินทางแบบเสี่ยงๆ ไปก่อนในช่วงแรก อาจจะเน้นเที่ยวง่ายเดินทางสะดวกก่อน พอมีประสบการณ์แล้วค่อยขยับสกิลไปเรื่อยๆ

2. ที่พักดีมีชัยกว่าครึ่ง

          นอกจากเลือกสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว การเลือกที่พักก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นกัน  ซึ่งการเลือกที่พักมีปัจจัยในการเลือกค่อนข้างเยอะพอสมควร ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล โดยวิธีการเลือกหลักๆ ก็จะมีดังต่อไปนี้

  • ที่พักต้องมีสัญญานมือถือ หรืออินเทอร์เน็ต เนื่องจากเราต้องมีการติดต่อกับคนอื่นอยู่เสมอ การเลือกที่ที่มีสัญญาณที่ดีก็เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก หากเกิดกรณีฉุกเฉินหรือเหตุร้าย จะได้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทันท่วงที
  • มีความน่าเชื่อถือ สภาพแวดล้อมไม่ดูน่ากลัว ปลอดภัย ก่อนจองเช็คจาก Google Street View ก่อน หรืออาจหาดูจากรีวิวหลายๆ ที่
  • อยู่ใกล้แหล่งชุมชน ในเมือง ไม่ตั้งอยู่โดดๆ ไกลจากที่อื่น เพราะหากเกิดเหตุไม่คาดคิด อาจทำให้การช่วยเหลือเข้าถึงช้า
  • เดินทางสะดวก ที่พักที่ปลอดภัยต้องเดินทางไปสะดวก ทางไปไม่เปลี่ยว รกร้างจนเกินไป ถนนทางเข้าที่พักต้องมีไฟส่องสว่างตอนกลางคืนด้วย

3. เลือกวิธีและวางแผนการเดินทาง

          พอเราได้ทั้งที่เที่ยวและที่พักแล้ว จากนั้นเรามาวางแผนการเดินทางกันว่า เราจะไปกี่วัน เที่ยวกี่ที่ พักกี่ที่ แล้วมาเลือกว่าจะเดินทางด้วยวิธีไหน มอเตอร์ไซค์ ขนส่งสาธารณะ รถไฟ รถยนต์ส่วนตัว หรือเครื่องบิน แต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ถ้าเอาสะดวกเดินทางง่าย ปลอดภัย ประหยัดเวลา ก็เลือกรถยนต์ส่วนตัว เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับเราเอง แต่ถ้าอยากลองสัมผัสกับบรรยากาศในการเดินทางจริงๆ ก็เลือกขนส่งสาธารณะ แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนที่มีเวลาน้อยๆ พอเราได้เลือกวิธีการเดินทางแล้ว ก็มาแพลนว่าจะไปที่ไหนก่อน เพราะบางที่เที่ยวมีเวลาเปิดปิด หรือแต่ละช่วงเวลาจะสวยไม่เหมือนกัน

          แต่ไม่ว่าจะเลือกวิธีการเดินทางแบบไหน ควรมีแผนสำรอง และควรศึกษาเส้นทางให้ดีก่อนออกเดินทาง เช็คจาก Google Street View แคปรูป แคปแผนที่ใส่อมือถือหรือจะปริ้นเป็นกระดาษสำหรองไว้ก็จะดี เผื่อโซนที่หลงไม่มีสัญญานมือถือ

4. พฤติกรรมระหว่างเดินทางก็สำคัญ

          ใครที่ไปเที่ยวคนเดียวควรรู้ไว้เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการเดินทางให้ปลอดภัยหายห่วง คือ อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลแผนการท่องเที่ยวของคุณกับใคร เพราะคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ถ้าให้ข้อมูลกับเขา เขาอาจจะมาดักทำร้ายเราได้ และอย่ารับประทานยานอนหลับ หลายคนที่มีอาการนอนไม่หลับระหว่างเดินทาง อาจใช้วิธีการกินยานอนหลับ ซึ่งวิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับการเดินทางคนเดียวที่จำเป็นต้องมีสติและรู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นด้วยตัวเองอยู่ตลอดเวลา และสุดท้าย อย่าดื่มน้ำจากคนแปลกหน้า สติสำคัญมาก ถ้าเราไปเที่ยวผับหรือสถาบันเทิง อย่าพยายามเมา หรือดื่มน้ำจากแก้วของคนที่ไม่รู้จักเด็ดขาด

5. บอกคนอื่นๆ ก่อนออกเดินทาง

          เรื่องที่สำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ เลยก็คือ ไปไหนมาไหนควรบอกคนอื่นๆ ให้รู้ ต่อให้เราไปเที่ยวคนเดียว ก็ใช่ว่าเราจะอยู่บนโลกนี้คนเดียว เรายังมีครอบครัว พ่อ แม่ เพื่อน หรือคนที่รักเรา เพราะเมื่อเวลาเกิดปัญหา เพื่อนหรือครอบครัวเราจะได้รู้เรื่องว่าเราไปไหน อยู่ที่ไหน แล้วจะได้ช่วยเหลือทัน เพราะฉะนั้นการบอกโลเคชั่นในทุกๆ ที่ ที่เราไปเที่ยวให้คนในครอบครัวเรารู้ได้ ก็จะยิ่งลดความเสี่ยงและสร้างความปลอดภัยได้อีก แต่เวลาไปเที่ยวคนเดียวก็ไม่ควรเช็คอินแบบเรียลไทม์หรือแชร์โลเคชั่นให้เป็นสาธารณะ เพราะอาจจะเป็นช่องให้กับมิจฉาชีพก็เป็นได้

เทคนิคเที่ยวแบบประหยัด 5 วิธี

เทคนิคเที่ยวแบบประหยัด 5 วิธี

เทคนิคเที่ยวแบบประหยัด

          เทคนิคเที่ยวแบบประหยัด ในยุคที่ข้าวยากหมากแพง การจะออกไปเที่ยวแต่ละครั้งต้องคิดแล้วคิดอีก ว่าไปแบบไหนจะพอใช้กับเงินที่มีอยู่ตอนนี้ ที่ที่พอจะมีกำลังทรัพย์เที่ยวได้ ก็ดันไม่ใช่ที่ที่อยากไป ที่ที่อยากไปก็แพงหูฉี่ วันนี้เรามีเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ มาแชร์ให้กับนักท่องเที่ยวทุกท่าน จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลย

5 วิธี เที่ยวแบบประหยัด

เทคนิคเที่ยวแบบประหยัด 5 วิธี

1 เลือกสถานที่ที่ต้องการไปให้เมหาะกับงบตัวเอง

          จะไปเที่ยวก็ต้องหาสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องการไปให้แน่ชัดก่อน จะได้วางแผน และเตรียมหาข้อมูลที่กิน เที่ยว ช้อปในราคาสุดประหยัดได้อย่างครบถ้วน เพราะขืนไปอย่างไร้จุดหมาย ไม่ได้หาข้อมูลเตรียมไว้เลย เราจะไม่สามารถกะงบประมาณที่จะใช้ในระหว่างทริปได้ ซึ่งก็เสี่ยงต่อการที่งบประมาณจะบานปลาย หากเราจะเลือกทริปเที่ยวต่างประเทศในแถบยุโรป อเมริกาก็จะเป็นทริปที่มีค่าใช้จ่ายสูง นอกจากในส่วนของค่าเงินแล้ว ค่าตั๋วเครื่องบินก็ยังจะแพงอีกด้วยเพราะเป็นการเดินทางระยะไกล จึงควรเปลี่ยนทริปแล้วหันมาเลือกเที่ยวประเทศที่มีค่าเงินหรือค่าครองชีพถูก เช่น ในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อาจจะเป็นญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ ฯลฯ ก็จะทำให้เพื่อนๆ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวได้เยอะกว่าไปเลือกเที่ยวในแถบยุโรป อเมริกา นอกจากนี้ ควรเช็ก อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศที่จะเลือกไป และเช็กว่าประเทศที่เลือกเราควรเลือกใช้บัตรเครดิตประเภทไหน วีซ่า หรือมาสเตอร์กาด์ก็ยิ่งจะช่วยเราประหยัดได้เพิ่มขึ้น

2 เลือกเวลาเที่ยว เป็นช่วงวันธรรมดา

          ในช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาวติดกันหลายวัน ทางโรงแรมและแหล่งท่องเที่ยวหลายที่มักจะถือโอกาสช่วงนี้อัพราคาขึ้นจากวันปกติหลายเท่าตัว ดังนั้นเพื่อเป็นการเซฟเงินในกระเป๋า ลองหาโอกาสเที่ยวในวันธรรมดา ก็คงจะดีกว่าไม่ใช่น้อย หลายๆคนอาจไม่ค่อยชอบท่องเที่ยวในช่วงของเทศกาลหรือวันหยุดยาว เพราะรู้สึกว่านักท่องเที่ยวเยอะ วุ่นวาย แออัด ไปที่ไหนก็จะเจอแต่ผู้คนที่มาเที่ยวกันเต็มไปหมด อีกทั้งค่าใช้จ่ายของเรื่องที่พักและตั๋วเครื่องบินในการเดินทางก็ยังราคาสูงลิ่วกว่าวันธรรมดาเสียอีก ซี่งนอกจากจะแพงแล้วยังแถมต้องจองล่วงหน้ากันนานถึง 3 เดือน 5 เดือนหรือบางทีอาจต้องจองกันข้ามปีก็เป็นได้ หากจะให้ดี ควรจะหลีกเลี่ยงการไปเที่ยวในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวหรือช่วงวันหยุดสัปดาห์ เปลี่ยนไปเที่ยววันธรรมดากันแทน เพราะนอกจากได้จะทำให้เหลืองบสำหรับค่าใช้จ่ายในทริปเที่ยวแล้ว จะไปตรงไหนก็จะรู้สึกสบายผ่อนคลายสมกับการได้มาพักผ่อนท่องเที่ยวจริงๆ

3 ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

          ข้อนี้สำคัญมากๆ สาวกนักช็อปที่อดใจไม่ได้เมื่อเห็นของถูกใจ ก็ควรช็อปเฉพาะของที่อยากได้จริง ๆ ไม่ควรช็อปกระจายแบบกลับมาแล้วก็มานึกได้ว่า ซื้อมาทำอะไร ขืนเป็นแบบนั้นจะลำบากทั้งกายและไม่สบายกระเป๋า ต้องขนของที่ช้อปปิ้งกระจายเพิ่มภาระน้ำหนักกระเป๋า และหมดเงินไปกับของฟุ่มเฟือยที่อาจจะไม่จำเป็นระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว ดังนั้น ควรตั้งงบสำหรับช้อปปิ้งไว้ให้ชัดเจน (บวกลบได้นิดหน่อย ตามประสาสายเที่ยว) ไม่ควรช้อปปิ้งแบบซื้อของฟุ่มเฟือย ไม่อย่างนั้นงบประมาณทริปนั้นบานปลายแน่นอน

4 เลือกเดินเที่ยวชมเมือง แทนการนั่งรถ

          เมื่อเราได้มาเที่ยวกันทั้งทีก็คงไม่อยากพลาดรายการชมเมือง แต่การชมเมืองนั้นถ้าเราอยากได้อรรถรสในการท่องเที่ยวกันจริงๆ ควรจะเลือกทัวร์เดินชมเมืองแทนการการขึ้นรถทัวร์เมือง หรืออาจเลือกเป็นการปั่นจักรยานชมเมืองแทน ก็นับว่าเป็นความคิดที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเราจะได้สัมผัสกับอากาศธรรมชาติกันได้อย่างเต็มปอด เก็บบรรยากาศกันได้ตลอดทาง อยากแวะตรงไหนแวะได้ตามใจเรา ซึ่งการเลือกวิธีเดินหรือปั่นจักรยานชมเมืองนี้นอกจากจะช่วยเราประหยัดเงินในกระเป๋าได้แล้ว ก็ยังช่วยให้เราได้ออกกำลังกายในขณะที่เราท่องเที่ยวไปด้วยค่ะ แน่นอนว่าหากเราเลือกการนั่งรถชมเมืองก็คงไม่ได้รับข้อดีอย่างที่ว่ามานี้แน่ ๆ

5 เข้าร่วมกลุ่มคนชอบเที่ยวใน Facebook Group

          Facebook เป็นโซเชี่ยลที่เราส่วนใหญ่ก็ใช้กันอยู่แล้ว ซึ่งเขาก็จะมี Group ต่างๆ ที่รวมกลุ่มคนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน เช่น กลุ่มคนรักแมว กลุ่มนักอ่าน เป็นต้น เพื่อไว้พูดคุย ไว้คอยแชร์ข้อมูล แบ่งปันเรื่องราวดีๆ ที่สนใจเหมือนๆ กัน ดังนั้น ลองหากลุ่มคนที่รักการท่องเที่ยวแล้วขอเข้าร่วม เพราะจะมีการแชร์โปรโมชั่นดีๆ ทั้งสายการบินและที่พักอยู่เรื่อยๆ ทำให้เราได้รับข่าวสารรวดเร็วและยังได้รับการคัดกรองจากคน ที่พอจะมีประสบการณ์ในการเดินทางให้คำแนะนำได้ว่าดีจริงไหม หรือควรมีขั้นตอนอย่างไร หากเจอดีลดีๆ เช่น ส่วนลดโรงแรมที่สนใจ ก็สามารถกดแชร์หาเพื่อนเราที่วางแผนเที่ยวด้วยกันได้ทันที

สถานที่ที่สวยที่สุดในโลก 4 อันดับ

สถานที่ที่สวยที่สุดในโลก 4 อันดับ

สถานที่ที่สวยที่สุดในโลก 4 อันดับ

สถานที่ที่สวยที่สุดในโลก 4 อันดับ

Capilano Suspension Bridge – Canada

     เริ่มต้นกับ สถานที่ที่สวยที่สุดในโลก อย่าง สะพานแขวนคาพิลาโน หนึ่งในสถานที่ที่จะทำให้คุณได้สัมผัสผืนป่าอันลึกลับจากมุมมองที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สะพานแขวนนี้เป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ตั้งอยู่ยอดต้นไม้ที่อยู่รอบตัว ด้วยความยาว 450 ฟุต (137 เมตร) และอยู่สูงเหนือแม่น้ำคาพิลาโน 230 ฟุต (70 เมตร)

          ในช่วงแรกนั้น โครงสร้างของสะพานไม่มั่นคง โดยทำมาจากวัสดุอย่างแผ่นกระดาน ไม้สน และเชือกปอ ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1889 โดยวิศวกรโยธาชาวสก็อตแลนด์ จอร์จ แกรนท์ แม็คเคย์ เพื่อทำทางเดินเชื่อมไปยังป่า หลังจากนั้น จึงเปลี่ยนจากเชือกปอมาใช้สายเคเบิลเหล็กแทน ซึ่งมีความแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักที่มากกว่า 1,300 คนได้ และได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดขึ้นชื่อของแวนคูเวอร์ในเวลาต่อมา สะพานแห่งนี้โดดเด่นด้วยทิวทัศน์รอบด้านซึ่งเป็นป่าสูง เขียวชอุ่ม และสวยงามชนิดที่จินตนาการได้ยาก นอกจากนั้น คุณจะได้เดินไปตามเส้นทางเดินป่าอันประกอบด้วยคลิฟวอร์คที่เป็นทางเดินริมหน้าผา จุดท่องเที่ยวแห่งใหม่ล่าสุดของที่นี่ สะพานแขวนนี้ยื่นออกมาจากหน้าผาแกรนิตและเชื่อมต่อไปยังเขตป่าฝน ทำให้ตรงนี้สามารถมองเห็นหุบเขาลึกจากบนสะพานได้ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว ช่วงที่เป็นจุดที่สูงที่สุดของทางเดิน ถูกบุด้วยแผ่นกระจกใสเพื่อให้นักท่องเที่ยวมองเห็นยอดของต้นไม้ที่อยู่ใต้เท้าแค่เพียงปลายนิ้ว นอกจากนั้นคุณยังมีโอกาสได้ร่วมทัวร์ป่าฝนไปกับไกด์ และเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างคนท้องถิ่นและผืนป่า ทั้งหมดที่เล่ามาการันตีว่าสถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทั่วโลก ที่คุณน่าจะไปให้ได้สักครั้งในชีวิต

Carrera Lake - Argentina

          ใครเบื่อทะเล เรามีทะเลสาบให้คุณไป ที่ที่คุณจะลืมน้ำทะเลใสๆ หาดทรายขาวชั่วขณะหนึ่ง เพราะทะเลสาบ Carrera แห่งนี้ มีถ้ำมหัศจรรย์ที่น่าตื่นตาตื่นใจซ่อนอยู่ ที่นี่คือถ้ำหินอ่อนเจิดจรัสอยู่ในทะเลสาบการ์เรรา (General Carrera) สวยจนใคร ๆ ก็คิดว่าหลุดออกมาจากจินตนาการของศิลปินคนไหนหรือเปล่า

          ถ้ำหินอ่อนนี้อยู่ในเขตพื้นที่ของทะเลสาบการ์เรรา (General Carrera) ทะเลสาบขนาดใหญ่ในภูมิภาคปาตาโกเนีย (Patagonia) ภูมิภาคใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ โดยทะเลสาบนี้อยู่ระหว่างชายแดนของอาร์เจนตินาและชิลี เป็นถ้ำที่เกิดจากกระแสน้ำกัดเซาะเป็นระยะเวลานับล้านปี จนภูเขาหินอ่อนเกิดเป็นถ้ำหินอ่อนที่ไม่เหมือนถ้ำแห่งใดในโลก ที่นี่ตอบโจทย์คำว่ามหัศจรรย์แห่งธรรมชาติได้ดีเยี่ยม คุณจะตะลึงกับความวิจิตรของหินอ่อน หลายรูปทรงที่แข่งกันสะท้อนผืนน้ำทะเลสาบเป็นประกาย

Iguaza Falls - Argentina

          อลังการยิ่งกว่าน้ำตกใด คือหนึ่งในมรดกโลก สำหรับน้ำตก Iguazu (อีกัวซู) Iguazu แปลว่า สายน้ำอันยิ่งใหญ่ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากสุดในอเมริกาใต้ น้ำตกแห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเยี่ยมชมความยิ่งใหญ่ได้อย่างไม่ขาดสาย ด้วยความตระการตาของม่านน้ำอันทรงพลัง ไม่มีวันหมดแรง ใครคิดว่าน้ำตก Niagara สูงสุดใจ น้ำตก Iguazu แห่งนี้ สูงยิ่งกว่า

          Iguazu Falls แบ่งตามระดับความสูง-ต่ำของแม่น้ำ Iguazu โดยฝั่งขวาอยู่ในเขตรัฐ Parana ประเทศบราซิล ฝั่งซ้ายอยู่ที่ Misiones ประเทศอาร์เจนตินา ที่นี่ประกอบด้วยน้ำตกน้อยใหญ่กว่า 270 แห่ง แต่ละแห่งมีความยาวมากกว่า 1 ไมล์ และความสูงอยู่ที่ 200 ฟุต ถ้าลองมองมุมกว้างจะรู้สึกได้เลยว่ามนุษย์เรานั้นตัวนิดเดียวจริง ๆ เมื่อเทียบกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ด้วยความอลังการเป็นที่สุดของ Iguazu นี้ หนึ่งในน้ำตกบริวารที่ชื่อ The Devil’s Throat มีลักษณะเป็นตัวยู (U) สูงเกือบ 5,000 ฟุต และยาวกว่า 2,000 ฟุต ทั้งสูง สวย มีพลังมาก มักเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า หากตกลงไปในน้ำตกแห่งนี้ คงเหมือนถูกปีศาจเขมือบกลืนหายไป อาจฟังดูน่ากลัว แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะที่นี่มีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัย ให้เราได้ชมม่านน้ำอันอลังการแบบปลอดภัยสุดๆ ด้วยองค์ประกอบน่าทึ่งของหนึ่งในมรดกโลกอย่าง Iguazu จึงทำให้ที่นี่ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทั่วโลกในฝันของนักท่องเที่ยวที่หลงใหลธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ใครชมภาพแล้วไม่จุใจ ต้องเดินทางไปสัมผัสด้วยตัวเองแล้ว

Hitachi Seaside Park, Ibaraki – Japan

          สวน Hitachi (Hitachi Seaside Park) อาณาจักรดอกไม้ที่เรากำลังพูดถึง เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองฮิตาชินากะ จังหวัดอิบารากิ ประเทศญี่ปุ่น พื้นที่ในสวนสูงต่ำสลับพื้นราบและเนินเขาเล็ก ๆ เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ตามฤดูกาล มีของแถมเป็นวิวทะเลแปซิฟิกสุดสวยสุดสายตา นอกจากทุ่งดอกไม้หลากสีสันในบรรยากาศที่ต่างกันของงสี่ฤดู สวนฮิตาชิ ยังมีโซนอื่น ๆ ที่ตอบโจทย์คุณได้ครบ ทั้งโซนสวนต้นไม้ เนินทะเลทรายชื่อดัง และโซนสวนสนุกที่เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่เด็ก ๆ และยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ให้ผู้ที่มาเยือนพักผ่อนหย่อนใจตามสะดวก นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ลองมากมายเช่น การปั้นถ้วยชามดินเผา การรำไทเก๊ก การปิ้งบาร์บีคิว ทีเด็ดของสวนแห่งนี้ หนีไม่พ้นดอกไม้อย่างแน่นอน แต่ทุ่งดอกไม้ที่สวยเด็ด คงต้องยกให้พุ่มไม้น่ารัก ชื่อว่า Kokia ซึ่งเจ้าพุ่มไม้นี้ทำให้สวนฮิตาชิโด่งดังเป็นพลุแตกเลยทีเดียว โดยไม้พุ่มสามารถเปลี่ยนสีได้ 3 สี ตามช่วงเวลา ช่วงหน้าร้อนพุ่มไม้จะเป็นสีเขียว ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ต่อมากลายเป็นทุ่งสีเหลือง พอฤดูใบไม้ร่วงกลายเป็นทุ่งทองสีน้ำตาล จนที่สุดแล้วเมื่อพุ่มไม้ Kokia แห้งตัวลง จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ต่อ ด้วยการนำมามัดรวมกันเป็นไม้กวาด เรียกว่าสวยอย่างมีคุณค่าจริง ๆ กระซิบบอกนิดหนึ่งว่า ถ้าใครอยากดูพุ่มไม้ Kokia ช่วงที่มันเป็นสีแดงตัดกับฟ้าสีฟ้าสดใส ต้องไปช่วงเดือน ต.ค. เท่านั้น อาจต้องเช็คช่วงการเดินทางดีๆ หน่อย เพราะช่วงที่เป็นสีแดงมีระยะเวลาค่อนข้างสั้น แต่ถ้าเพื่อน ๆ จะแพลนการเดินทางตอนนี้ก็ยังทัน มีสิทธิ์ได้เก็บภาพพุ่มไม้น่ารัก ๆ สีแดงได้เต็มอิ่มแน่นอน

   เป็นกันบ้างครับ กับ สถานที่ที่สวยที่สุดในโลก ที่เรา Olifun ได้รวบรวมมาในวันนี้ นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวแล้วทางเรา ยังมีข้อมูลน่าสนใจอื่นๆอีกมากมาย ทั้งสุภาพ , เทคโนโลยี , แฟชั่นทันสมัย , หรือแม้กะทั่ง รีวิวเกมอื่นๆอีกมากมาย ถ้าเพื่อนๆสนใจขอแค่เพียง ติดตาม ทางเว็บไซด์ของเราไว้เราจะมี ข้อมูลดีดีมากมาย มาให้เพื่อนได้รับชมในเวลาถัดไป

เที่ยวต่างประเทศ พร้อมทริคแบบประหยัด

เที่ยวต่างประเทศ พร้อมทริคแบบประหยัด

เที่ยวต่างประเทศ

    Olifun เที่ยวต่างประเทศ แหล่งรวมความสนุก ความบรรเทิง และ ความรู้ เรามาพร้อมกับ หัวข้อดีดีมากมาย ทั้งเกม แฟชั่น สุขภาพ และสถานที่ท่องเที่ยว เรื่องน่ารู้อื่นๆอีกมากมาย วันนี้เรามาพร้อมกับหัวข้อที่ซีเรียสอย่างหนึ่ง เมื่อสถานะการบ้านเมืองของเราชวนให้เกิดการปวดหัว ทั้งยังสถานะการโควิด ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน หลายคนอาจจะเกิดความเครียสสะสมได้ง่ายๆ วันนี้เราเลยมาพร้อมกับ หัวข้อที่หลายๆคนอยากรู้อย่างการ เที่ยว ต่างประเทศ ถ้าประเทศเรามันเที่ยวยาก ก็ไปเที่ยว ต่างประเทศสิง่ายดี วันนี้เราได้รวบรวมทริปสำหรับคนที่ต้องการ ไปเที่ยว ต่างประเทศเพื่อไม่ให่เสียเวลาก็ไปกันดีกว่า

ไปต่างประเทศ พร้อมทริคแบบประหยัด

เที่ยวต่างประเทศ พร้อมทริคแบบประหยัด

1. เที่ยว ต่างประเทศ ด้วยตั๋วเครื่องบินราคาถูก

          ติดตามข่าวสารสายการบิน หรือเพจโปรโมชั่นไว้ พร้อมกับวางแผนการเดินทางคร่าวๆ เมื่อไหร่ที่มีส่วนลดในเส้นทางที่เราจะไปก็จะได้ซื้อได้ทันทีโดยไม่เสียเวลา (เพราะตั๋วถูกมีจำกัด ถ้าไม่รีบอาจจะซื้อไม่ทันคนอื่นได้นะครับ) หรืออีกวิธีง่ายๆคือใช้เว็บไซต์เปรียบเทียบราคาบินที่ปัจจุบันมีมากหมายหลายเว็บไซต์ที่จะช่วยให้เราเจอตั๋วราคาคุ้มค่า และประหยัดเวลาในการค้นหาตั๋วเครื่องบินได้อีกด้วย ลดเวลาจากการเข้าเว็บสายการบินหลายๆเว็บไซต์แล้วเปรียบเทียบราคาเอง

2. ใช้เงินเที่ยวแบบคุ้มค่า ต้องดูอัตราแลกเปลี่ยนให้เป็น

          งบสำหรับการเดินทางในแต่ละทริปที่เราตั้งไว้ จะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น ดังนั้นอย่าลืมพิจารณาสิ่งสำคัญอย่าง “อัตราแลกเปลี่ยน” ลองดูทริคง่ายๆแลกเงินยังไง ให้คุ้มแบบสุดๆ

  • ซื้อเงินของประเทศนั้นไว้ก่อนล่วงหน้า(เมื่อค่าเงินถูกลง) เพื่อเตรียมนำเงินนั้นไปใช้ในการเที่ยว ต่างประเทศ แบบคุ้มที่สุด
  • เปรียบเทียบเรทแต่ละที่ให้ดี รู้ไหมว่า..ร้านแลกเงินหรือธนาคารชื่อเดียวกัน ถ้าต่างสาขากันจะให้เรทราคาที่ต่างกันด้วย ซึ่งร้านที่ให้เรทดีๆนั้นเพื่อนๆสามารถหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต หรือเปรียบเทียบเองจากเว็บไซต์ของผู้ให้บริการได้โดยตรง
  • และเมื่อต้องการแลกเงินกับร้านแลกเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร ควรและกับร้านที่ได้รับการรับรองจากธนาคาร และต้องใช้ passport ในการแลกเงินด้วย

3. กินอาหารข้างทาง ประหยัด แถมได้รสชาติแบบคนท้องถิ่น

          ลองเปลี่ยนจากทานร้านอาหาร มาทานอาหารข้างทาง หรือซื้อจากซุปเปอร์มาเก็ตแบบคนท้องถิ่นดูบ้างในบางมื้อ นอกจากจะประหยัดค่าอาหารจากการจากร้านแพงๆตามแหล่งท่องเที่ยวแล้ว เพื่อนๆจะได้สัมผัสกลิ่นอายแบบคนท้องถิ่นเมื่อไปเที่ยว ต่างประเทศ ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆจากการเดินทาง
ข้อควรระวัง ดูก่อนว่าประเทศที่เราเดินทางนั้นสะอาดหรือไม่ และเลือกร้านที่ดูสะอาดถูกสุขอนามัย  นอกจากนี้ควรสอบถามส่วนประกอบของอาหารก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงส่วนประกอบอาหารที่เราแพ้ หรือที่อาจส่งผลเสียต่อร่างกายในระหว่างเดินทาง

4. เที่ยว ต่างประเทศ แบบไม่ต้องจ่ายค่าที่พัก

          เมื่อไปเที่ยว ต่างประเทศ นอกจากโรงแรมแล้วเพื่อนๆสามารถเลือกพักได้หลายรูปแบบ ที่ทั้งถูกและดี หรือพักได้ฟรีๆเลยก็มีนะครับ เช่น ห้องพักรวมราคาถูกแบบ Hostel ที่จะได้พบเพื่อนใหม่ระหว่างเดินทาง, การจองที่พักผ่านแพลตฟอร์มตัวกลาง ที่เหล่าเจ้าของเปิดบ้านหรือห้องพักส่วนตัวให้นักท่องเที่ยวเช่าระยะสั้น, หรือแอพหาที่พักยอดฮิตของเหล่าแบ็คแพ็คเกอร์ ที่สามารถส่งคำร้องขอไปพักฟรีกับสมาชิกท่านอื่นๆ ถ้าโชคดีอาจได้พบเพื่อนต่างชาติที่คุยกันถูกคอ เราก็ถือโอกาสนี้ให้เพื่อนใหม่เป็นไกด์นำเที่ยว หรือพาเราออกไปนั่งแฮงค์เอ้าท์ โอ้โห…เหมือนได้ใช้ชีวิตแบบคนในประเทศที่เดินทางเลยล่ะ

5. ทั้งประหยัด และสบาย ด้วยบัตรเดินทางแบบเหมาจ่าย

          “ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง” เมื่อต้องเดินทางในต่างประเทศ นั้นไม่ใช่น้อยๆ เมื่อต้องการใช้บริการขนส่งสาธารณะ ควรศึกษาดูก่อนว่า ประเทศที่จะเดินทางมีโปรโมชั่นบัตรโดยสารแบบเหมาจ่ายหรือไม่ (คล้ายๆระบบเหมาจ่ายต่อเที่ยวของรถไฟฟ้า BTS ในบ้านเรา) เพราะราคาเฉลี่ยต่อเที่ยวเดินทาง มักจะถูกกว่ามาก (โดยเฉพาะเพื่อนๆที่อายุไม่เกิน 24- 26 ปี ควรตรวจสอบสิทธิ์ให้ดี บางประเทศสามารถเดินทางด้วยบัตรเยาวชนราคาจะถูกกว่าครึ่งเลยทีเดียวครับ)
ยกตัวอย่าง เช่น EUrail Global Pass บัตรเหมาจ่ายค่าเดินทางด้วยรถไฟที่ใช้เดินทางได้ทุกกประเทศในยุโรป, EUrail Select Pass บัตรเหมาจ่ายค่าเดินทางแบบเลือกเฉพาะประเทศที่จะเดินทางไป, JR Pass บัตรเหมาจ่ายค่าเดินทางรถไฟในญี่ปุ่น เป็นต้น

6. ทัวร์แบบใหม่ ไม่ต้องจ่ายซักบาท กับ Free Walking Tour

          Free walking Tour คือ ทัวร์ที่ใช้เวลาแบบสั้นๆ ส่วนมากใช้เวลาไม่เกิน 1-3 ชม. มักจะเดินพาชมแบบเจาะจงสถานที่ เป็นรูปแบบทัวร์ที่กำลังเป็นที่นิยมมากสำหรับนักเดินทางโดพเฉพาะในต่างประเทศ ซึ่งทัวร์ก็มีหลายรูปแบบมากๆครับ เช่น ทัวร์รอบหอไอเฟล ทัวร์หลอนในซากเมืองโบราณ ซึ่งไกด์ที่พาเราไปมักจะเป็นไกด์ที่ทำเป็นอาชีพเสริม ลูกทัวร์ไม่ต้องจ่ายเงินค่าทัวร์ แต่จะนิยมให้ทิปส์ไกด์เป็นการตอบแทน ข้อดีคือ สามรถเลือกเฉพาะที่ที่สนใจ ใช้เวลาน้อย และไม่ต้องจ่ายเยอะ

7. เที่ยว ต่างประเทศ แบบประหยัด ติดขวดน้ำไปด้วยทุกที่

          ลองคิดดูว่าเราจะใช้เงินมากเท่าไหร่ เมื่อไปเที่ยว ต่างประเทศ แล้วต้องเสียค่าน้ำดื่มในแถบประเทศตะวันตกราคาขวดละ 50-70 บาท หรือในญุี่ปุ่นราคา 30-40 บาท น้ำเปล่าในหลายๆประเทศราคาแพงมากเมื่อเทียบกับบ้านเรา นั่นก็เพราะว่าหลายๆประเทศมีน้ำประปาที่สะอาด ดื่มได้ คนในประเทศจึงไม่จำเป้นต้องซื้อ เพื่อนๆเองก็สามารถประหยัดได้ง่ายๆ แค่พกขวดน้ำไว้แล้วกรอกจากก๊อกน้ำสาธารณะ หรือที่พัก 

Summer Travel หน้าร้อนนี้ต้องไปให้ได้

Summer Travel หน้าร้อนนี้ต้องไปให้ได้

Summer Travel

Travel & Tours  Summer Travel วันนี้เรามาพร้อมกับ หน้าร้อนที่กำลังจะ มาเยือนเรา เราเลยรวม ที่เที่ยวคลายร้อน รับซัมเมอร์ที่ร้อนแบบสุดๆ ในปีนี้มาฝากกัน ไปรับลมคลายร้อน ชมบรรยากาศแสนธรรมชาติ ให้หายร้อนไปกับ ช่วงฤดูร้อนที่แสนยาวนานของประเทศไทยเรา ใครพร้อมแล้วก็ตามเรามา เตรียมกล้องแล้วออกไปเที่ยวกันกับ Summer Travel 

รวมที่เที่ยว 5 แห่ง หน้าร้อนนี้ต้องไปให้ได้

Summer Travel หน้าร้อนนี้ต้องไปให้ได้

อุทยานแห่งชาติเขาหินงู

   เริ่มด้วย รับชมธรรมชาติ แสนสบาย ตากลมแบบชิวๆ กับ อุทยานแห่งชาติเขาหินงู อยู่ห่างจากตัวเมืองราชบุรีไปประมาณ 8 กิโลเเมตร เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวเชิงธรรมชาติที่เราจะได้สัมผัสกับวิวทิวทัศน์อันสวยงามของภูเขาหิน ซึ่งแต่ก่อนบริเวณตรงนี้เคยเป็นแหล่งระเบิดหิน แต่ปัจจุบันได้กลายมาเป็นสวนสาธารณะและสถานที่ท่องเที่ยว ทางโบราณคดี และได้มีการสร้างพระพุทธรูปหินขนาดใหญ่ เต็มพื้นที่หน้าผา สร้างจากการยิงแสงเลเซอร์ลงหน้าผาหิน แถมยังมีสะพานทอดยาวให้ได้เดินชมบรรยากาศอีกด้วย ดูไปดูมาก็คฃ้ายเมืองจีนสุดๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าที่นี่อยู่ราชบุรีนี่เอง แถมไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ด้วย มีเวลาวันเสาร์อาทิตย์ก็สามารถมาเที่ยวได้

บ้านรักไทย

   หมู่บ้านในสายหมอก ที่หลายคนมักมองข้ามเมื่อ หน้าร้อนมาถึง บ้านรักไทย ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นหมู่บ้านชาวจีนยูนนานอดีต ทหารจีนคณะชาติ (กองพล 93) “ก๊กมินตั๊ง” บ้านรักไทยอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล กว่า 1,776 เมตร ทำให้พื้นที่ เหมาะสมอย่างยิ่งกับการปลูกชาพันธุ์ดี และพืชเมืองหนาว ทิวทัศน์ของ หมู่บ้านโอบล้อมไปด้วยทิวเขา แมกไม้ที่ อุดมสมบูรณ์ บ้านรักไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในเรื่องของชาและขาหมู่หมั่นโถว คล้ายกับดอยแม่สลอง (กองพลเดียวกัน) นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวที่แห่งนี้เพื่อดื่มด่ำกับการชิมชา และ ทานขาหมูหมั่นโถว บ้างก็หลีกหนี ความวุ่นวายมาหาความเงียบสบาย ของบ้านรักไทยแห่งนี้ บ้านรักไทยยังมีกิจกรรมหลายอย่างไว้ให้นักท่องเที่ยว ได้สนุกสนาน เช่น การเดินป่าศึกษาเส้นทางโดยมัคคุเทศน์น้อย พาเข้าไปชม “คุกดิน” และการขี่ม้าพาข้ามแดนไป ฝั่งพม่า ที่บ้านรักไทยยังมีเกสถ์เฮาส์ริมน้ำ (บ้านดิน) ไว้บริการนักท่องเที่ยวที่ต้องกับสัมผัสกับ ธรรมชาติแบบใกล้ ชิดอีกด้วย

อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน

   ชมดอกไม้สวยๆ หาชมได้ยากในฤดูร้อน ที่บ้านป่าเหมี้ยง เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนโดยอยู่ห่างจากตัวอุทยานฯประมาณ 14 กม. บ้านป่าเหมี้ยง ชุมชน บนเขาสูงโอบล้อมด้วยป่าเหมี้ยง มีอากาศเย็นสบายตลอดปี มีลักษณะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็น ภูเขาสลับซับซ้อน สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ประมาณ1,200 เมตร หมู่บ้านแห่งนี้มีจำนวนครัวเรือน ประมาณ 126 ครัวเรือนชาว บ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำสวนเหมี้ยง แปรรูปเหมี้ยงและหา ของป่าวิถีชีวิตของคนใน ชุมชนยังคงรูปแบบ ดั้งเดิมมีความเป็นเอกลักษณ์ในด้านขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมและ การละเล่นต่างๆ อาหารประจำถิ่นได้แก่ ยำใบเหมี้ยงยำดอกเสี้ยวหลามปลีไข่ป่ามสมุนไพรไส้อั่วเห็ดหอมฯลฯ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสได้จริงแมกไม้ และขุนเขาไว้คอยบริการ

เกาะเสม็ด จ.ระยอง

   ต้องมาแน่นอนกับ การรับลมทะเลในฤดูร้อน ไม่มีอะไรสมบูณแบบเท่านี้แล้วกับ เกาะเสม็ดสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งจังหวัดระยอง ชื่อกันว่าคือเกาะแก้วพิสดาร ในวรรณคดีเรื่อง พระอภัยมณี ของสุนทรภู่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อของระยอง ที่ได้รับความนิยมทั้งจากชาวไทย และชาว ต่างประเทศ ตั้งอยู่บนตำบลเพ อำเภอเมือง อยู่ห่างจากชายฝั่งบ้านเพประมาณ 6.5 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 3,125 ไร่ เกาะเสม็ด มีลักษณะเป็นเกาะรูปสามเหลี่ยม ส่วนฐานของเกาะอยู่ด้านทิศเหนือ ซึ่งหันเข้าสู่ฝั่งบ้านเพ มีภูเขาสลับซับซ้อนกันอยู่ 2-3 ลูก มีที่ราบอยู่ตามริมฝั่งชายหาด ส่วนใหญ่จะอยู่ทางด้านเหนือ และตะวันออก เหตุที่มีชื่อว่า “เกาะเสม็ด” เพราะเกาะนี้มีต้นเสม็ดขาว และเสม็ดแดงขึ้นอยู่มาก

เกาะเสม็ด จ.ระยอง

   บ้านริมเล โฮมสเตย์เกาะพิทักษ์ ตั้งอยู่บนอ่าวท้องครก อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เป็นที่พักแบบโฮมสเตย์บนเกาะสุดชิลล์ที่ไม่ไกลจากฝั่งมากนัก ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็ก มีหมู่บ้านชาวประมงกระจายอยู่รอบเกาะ ทำให้คุณจะได้สัมผัสชุมชนริมทะเลที่สวยงามแห่งหนึ่งของชุมพร พร้อมชมวิวทะเลสุดลูกหูลูกตาได้แบบเต็มๆ ที่บ้านริมเล โฮมสเตย์เกาะพิทักษ์ พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการหาที่พักบรรยากาศดีๆ ริมทะเล ใครเบื่อๆ อยากหากิจกรรมทำสนุกๆ ที่นี่ก็มีกิจกรรมต่างๆ ให้เลือกทำมากมายไม่ว่าจะเป็นตกหมึก ดำน้ำดูปะการัง ร้องคาราโอเกะ พายคายัก หรือจะนั่งเรือชมวิวรอบเกาะก็สามารถทำได้

น้ำตกนางรอง จ.นครนายก

   รับลมทะเลเสร็จแล้ว ถ้ายังไม่จุใจเรา ขอพาเพื่อนไปชม แหล่งน้ำจืดที่แสนสวยงาม รับธรรมชาติให้เต็มปอดไปกับ น้ำตกนางรอง จ.นครนายก อีกหนึ่งน้ำตกขึ้นชื่อของนครนายก อยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แต่แตกต่างจากน้ำตกสาริกา เพราะให้ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครนายกเป็นผู้ดูแล ที่นี่ถือเป็นน้ำตกขนาดกลาง สายน้ำไหลผ่านชั้นหินลดหลั่นลงมาเกิดเป็นแอ่งน้อยใหญ่ บริเวณโดยรอบร่มรื่นเป็นธรรมชาติ มีการจัดทำซุ้มม้านั่งและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับนักท่องเที่ยวประชาชน ส่วนใหญ่มักมาเที่ยวแบบปิกนิกปูเสื่อพักผ่อนนั่งเล่นนอนเล่น กินส้มตำ น้ำตก ไก่ย่าง เอร็ดอร่อย ด้านหน้าทางเข้ามีร้านค้าเรียงรายอยู่มากมายเชียว นอกจากนี้ยังมีบ้านพักบรรยากาศดีให้บริการด้วย