Trekking การท่องเที่ยวแบบใหม่ ข้อควรรู้สำหรับมือใหม่
Trekking
Trekking การท่องเที่ยวแบบใหม่ ข้อควรรู้สำหรับมือใหม่ วันนี้ OliFun จะพาเพื่อนไปรู้จักกับ รูปแบบการท่องเที่ยวใหม่ หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินว่าการเที่ยวแบบ Backpacking คืออะไร หรือการเที่ยวแบบ Hiking และ Camping เป็นอย่างไร แต่คงมีน้อยคนที่จะรู้จักการท่องเที่ยวแบบ แทร็กกิ้ง แล้วการท่องเที่ยวแบบ แทร็กกิ้ง คืออะไร มาดูกัน
การท่องเที่ยวแบบ Trekking มักจะใช้สำหรับการเดินทางที่ใช้เวลานานหลาย ๆ วัน มีการเดินขึ้นเขาและลงเขาในระยะทางที่ไกล ๆ โดยส่วนใหญ่เรามักจะได้ยินคนใช้คำนี้เวลาไปเที่ยวในบริเวณการเดินป่าระยะไกล ๆ เช่น การเดินทางในประเทศเนปาล
ปัจจุบัน เราจะเห็นนักท่องเที่ยวเที่ยวแบบ แทร็กกิ้ง มากขึ้น ซึ่งแบ่งง่ายๆได้เป็น 2 กลุ่มครับคือ กลุ่มที่มีประสบการณ์มาบ้าง ไปมาหลายที่ และอีกกลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มมือใหม่ที่ไม่เคย trek มาก่อนเลย แต่อยากไปเที่ยวแบบนี้ดูบ้าง เพราะเห็นรีวิวต่างๆ ก็อยากไป หรือบางคนมีเพื่อนชวน เห็นรูปสวยๆ ก็ตกลงซื้อตั๋วเครื่องบินเลย ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าไปไหว ซึ่งกลุ่มนี้ต้องระวังเพราะยังไม่เห็นภาพว่าการไป trek จะลำบากหรือเหนื่อยแค่ไหน แม้ว่าการเดิน แทร็กกิ้ง แบบนี้มีประเด็นหลายอย่างที่ต้องระวัง เพราะต้องมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ ความเสี่ยงในเรื่อง high altitude sickness ดังนั้นควรดูว่ามีประเด็นอะไรที่น่ารู้เกี่ยวกับการเที่ยวแบบนี้บ้าง สำหรับมือใหม่
การท่องเที่ยวแบบใหม่ ข้อควรรู้สำหรับมือใหม่
1. เที่ยวแบบ Trekking ไม่ใช่การท่องเที่ยวที่สะดวกสบาย ร่างกายต้องแข็งแรงและพร้อม
การเที่ยวแบบ แทร็กกิ้ง คือการเที่ยวที่ต้องเดินเท้า ไปในสถานที่ธรรมชาติต่างๆ มักจะเป็นป่าเขา และมักจะอยู่ในที่สูงจากระดับน้ำทะเลพอสมควร ซึ่งการเดินเท้าไปเป็นระยะทางไกล ไปเป็นเวลาหลายๆวัน และต้องแบกของใช้ส่วนตัวติดตัวไปบ้าง แม้ว่าจะมีลูกหาบหรือ porter ช่วย ดังนั้นต้องเตรียมตัวอย่างดี สุขภาพร่างกายโดยทั่วไปต้องแข็งแรง สามารถออกกำลังกาย เดินไกลๆหรือวิ่งได้ไกลๆยิ่งดี คนที่มีสุขภาพไม่แข็งแรงหรือมีโรคประจำตัวไม่ควรไป
เรื่องที่พัก อาหารการกินระหว่างทาง หรือห้องน้ำห้องท่าก็ไม่สบายแน่นอน นอกจากนี้ต้องทำใจเรื่องการติดต่อกับโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสัญญานมือถือ Internet ซึ่งสถานที่ใน แทร็กกิ้ง route ส่วนใหญ่จะไม่มี เพราะฉะนั้นต้องคิดถึงประเด็นนี้ไว้บ้างก่อนการเดินทาง
2. ถามใจตัวเองก่อนว่าชอบการเที่ยวแบบ trekking จริงหรือไม่ อย่าตัดสินใจเพียงเพราะอยากเห็นวิวสวยๆ หรือมีเพื่อนชวนไป
ประเด็นนี้ก็สำคัญครับ โดยเฉพาะมือใหม่ เพราะหลายๆคนไม่ได้คิดอะไร เห็นรูปสวยหรือเพื่อนชวนก็ตัดสินใจไปเลย ต้องระวังนิดหนึ่ง เพราะอย่างที่กล่าวมาแล้วว่าการเที่ยวแบบนี้ไม่สะดวกสบาย ต้องอดทน ถ้าเราไม่ได้ชอบเที่ยวแบบนี้จริงๆ ไปตามเพื่อน เมื่อเวลาเจอความลำบากหรือสถานการณ์จริงๆ ก็จะไม่สนุก เผลอๆ เถียงกันเปล่าๆ ว่าไม่รู้มาทำไม ทำให้ trip หมดสนุกไปเลย คนที่จะเที่ยวแบบ แทร็กกิ้ง ควรเป็นคนที่ชอบลุย กินง่าย อยู่ง่าย ชื่นชมกับธรรมชาติ
3. ไม่ควรเลือก route ยากเกินไป ถ้ายังไม่มีประสบการณ์
หลายครั้งที่นักท่องเที่ยวมือใหม่ ที่ไม่มีประสบการณ์ แต่อยากไปเดินที่ Everest base camp เลยหรือไป Kilimanjaro เลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรต้องระวังอย่างมาก นักท่องเที่ยวมือใหม่พวกนี้มักจะไปเพราะเพื่อนชวน และเพื่อนคนที่ชวนส่วนใหญ่เป็นคนที่มีประสบการณ์มากแล้ว แต่มาชวนคนซึ่งไม่มีประสบการณ์เลย ในกรณีนี้ต้องระวัง เพื่อนไปได้ ไม่ได้แปลว่าเราจะไปได้ ดังนั้นควรเริ่มจาก route ง่ายๆ ก่อน ฝึกเดินในประเทศได้ดีก่อน ก่อนที่จะไป trek ที่ต่างประเทศ
เช่นนักท่องเที่ยวบางคน ไม่มีประสบการณ์ trek หรือแม้แต่เดินป่าในไทยมาก่อนเลย ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะชอบการเดิน และจะแข็งแรงพอที่จะไป trek แต่อยากจะไป EBC(เส้นทางสุดคลาสสิกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเนปาล เป็นเส้นทางไป Everest Base Camp จุดพักสำหรับผู้ที่ต้องการปีนสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์) เพราะทนเพื่อนชวนไม่ได้ ในกรณีนี้แนะนำให้ลองเดินขึ้นภูกระดึง หรือเขาช้างเผือก หรือเขาอื่นๆในไทยที่มีความสูงในระดับยากดูก่อน ถ้าขึ้นไม่ไหว ก็อย่าไป EBC เลยเพราะมันเสี่ยงเกินไป (EBC route ใช้เวลาประมาณ 14 วัน เดินทั้งหมดประมาณ 130 km) แต่ภูกระดึงเดินน้อยกว่านี้มาก และไม่มีปัญหา high altitude sickness อีกต่างหาก
4. ศึกษาข้อมูลการเดินทางให้ดี ว่าเราต้องเดินมากน้อยแค่ไหน และไปในที่สูงมากแค่ไหน
ปัจจุบันเราอยู่ในยุคสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายดาย ทุกที่ที่เราจะไป ย่อมมีคนเคยไปมาก่อนเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Poon Hill, ABC, EBC, Kinabalu, Kilimanjaro ฯลฯ ดังนั้นมือใหม่ควรจะหาข้อมูลสำคัญๆ ในสถานที่ที่จะไป แทร็กกิ้ง ก่อนตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ความสูง ฤดูกาลที่ควรไป รวมทั้งรายละเอียดการเดินในแต่ละวันว่าต้องเดินมากน้อยแค่ไหน และไปสูงแค่ไหน มีช่วงไหนที่เป็นหิน หรือต้องเดินผ่านหิมะหรือไม่ ฯลฯ
นอกจากนี้ควรดูรีวิวต่างๆ โดยอย่าดูแต่รูปสวยๆ เพียงอย่างเดียว ต้องดูสภาพแวดล้อมในการเดินทางด้วย ว่าต้องเดินขึ้นเขามากแค่ไหน ห้องน้ำห้องท่ามีไหม และเป็นอย่างไร กินอาหารอย่างไร นอนที่ไหน ฯลฯ ถ้าเราเตรียมตัว และรู้ข้อมูลอย่างดีจะทำให้การเดินทางของเราเป็นไปได้อย่างราบรื่นและมีความสุข