ป้ายกำกับ: Digital Marketing

สล็อตลงทุน 1 บาท สมัครสมาชิก ฝาก 50 รับ 100 ไม่ต้องฝาก ไม่ต้องแชร์ แนะนำหนังสือที่จะทำให้การลงทุนของคุณเป็นเรื่องง่าย

สล็อตลงทุน 1 บาท สมัครสมาชิก ฝาก 50 รับ 100 ไม่ต้องฝาก ไม่ต้องแชร์ แนะนำหนังสือที่จะทำให้การลงทุนของคุณเป็นเรื่องง่าย

สล็อตลงทุน 1 บาท

สล็อตลงทุน 1 บาท สมัครสมาชิก ฝาก 50 รับ 100 ไม่ต้องฝาก ไม่ต้องแชร์ แนะนำหนังสือที่จะทำให้การลงทุนของคุณเป็นเรื่องง่าย

สล็อตลงทุน 1 บาท สมัครสมาชิก ฝาก 50 รับ 100 ไม่ต้องฝาก ไม่ต้องแชร์ พร้อมแนะนำหนังสือที่จะทำให้การลงทุนของคุณ เป็นเรื่องง่าย หากใครที่กำลังมองหาเว็บไซต์เกมสล็อตออนไลน์ ที่มีโปรโมชั่นดี ๆ ที่มอบให้กับผู้เล่นแบบจุใจ ก็สามารถเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกกับเว็บไซต์เกมสล็อตออนไลน์ของเราได้เลย เพราะว่าทางเว็บไซต์ของเราในตอนนี้ มีโปรโมชั่นดี ๆ ที่จะมามอบให้กับผู้เล่นทั้งหลาย ซึ่งก็คือฝากเพียง 50 บาทรับไปเลย 100 บาทฟรี

สมัครสมาชิก ฝาก 50 รับ 100 ไม่ต้องฝาก ไม่ต้องแชร์

สล็อตลงทุน 1 บาท สมัครสมาชิก ฝาก 50 รับ 100 ไม่ต้องฝาก ไม่ต้องแชร์ แนะนำหนังสือที่จะทำให้การลงทุนของคุณเป็นเรื่องง่าย

สมัครเกมสล็อตออนไลน์ทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

บางคนที่ไม่เคยเล่นเกมสล็อตออนไลน์มาก่อน อาจจะคิดว่า การสมัครนั้น เป็นเรื่องยาก แต่ว่าเว็บไซต์เกมสล็อตออนไลน์ของเรา มีวิธีการสมัครที่ง่าย และยังใช้ข้อมูลส่วนตัวของผู้เล่นไม่เยอะ ผู้เล่นสามารถไว้วางใจได้เลยว่า ข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ ที่ผู้เล่นกรอกเข้ามาตอนสมัครสมาชิก ไม่รั่วไหลอย่างแน่นอน

เพราะได้รับการป้องกันอย่างดี ไม่มีการนำข้อมูลไปใช้ ในทางเสียหาย หรือเอาข้อมูลเปิดเผย นั่นถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทางเว็บไซต์ของเราให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งวิธีการสมัครสมาชิกกับเว็บไซต์ของเรานั้น สามารถทำได้ง่าย แค่กดเข้ามาที่เว็บไซต์เกมสล็อตออนไลน์ แล้วเลือกเข้าไปที่เมนูสมัครสมาชิก และกรอกข้อมูลต่าง ๆ ที่ทางเว็บไซต์ได้ระบุไว้ ซึ่งมีแค่ชื่อนามสกุลและเบอร์โทรศัพท์มือถือและเลขที่บัญชี เพียงเท่านี้ก็สามารถสมัครสมาชิกกับเว็บไซต์เราได้แล้ว

หนังสือที่จะทำให้การลงทุนของคุณเป็นเรื่องง่าย

แน่นอนว่าการเล่นเกมสล็อตออนไลน์หรือเกมเดิมพันต่าง ๆ คือการลงทุน ที่เหมือนกับการลงทุนแบบอื่น แต่เปลี่ยนรูปแบบมา เป็นการลงทุนในการเล่นเกมเดิมพันเพียงเท่านั้น ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่า การลงทุนทุกอย่าง ย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และถ้าหากผู้เล่นไม่มีการจัดการความเสี่ยงที่ดีพอ ก็อาจจะทำให้ความสนุกในการเล่นเกมสล็อตออนไลน์นั้น เปลี่ยนไปเป็นความทุกข์แทน เพราะว่าความเสี่ยงจากการเล่นเกมออนไลน์นั้น ค่อนข้างสูง ดังนั้น ต้องมีวิธีจัดการความเสี่ยงที่ดีพอในการเล่นเกมสล็อตออนไลน์ ซึ่งวันนี้ เรามีหนังสือที่จะเปลี่ยนให้ความเสี่ยงของคุณ กลายเป็นเรื่องที่ง่ายได้อย่างแน่นอน

นั่งตกปลากับบัฟเฟตต์

หนังสือเล่มนี้ สอนการลงทุนผ่านเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ที่ได้สนทนากับตัวละครที่สมมติขึ้นมา ซึ่งเป็นคุณปู่กับนักตกปลา ที่เขาได้บังเอิญพบเจอ โดยเขาได้ปรึกษาความล้มเหลว ในการเก็งกำไรหุ้น ที่เขาเคยทำมา และคุณปู่ได้สอนเคล็ดลับวิธีการลงทุนที่ถูกต้อง ให้กับเขามากมาย ตามแนวทางของปรมาจารย์นักลงทุนหุ้น แบบเน้นคุณค่า ที่จะทำให้เรารู้จักวิเคราะห์ และมองให้เป็นธุรกิจ ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้เจาะลึกถึงรายละเอียดการลงทุนมากนัก แต่จะเป็นมุมมองความเข้าใจ และวินัยในการลงทุน ซึ่งจะทำให้คุณเข้าใจ และมีพื้นฐานในการจัดการเงินทุนของตนเองได้ดีมากยิ่งขึ้น

นิสัยเศรษฐีทำแบบนี้ถึงมีเงินเก็บได้

หนังสือได้พูดถึง พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เป็นตัวกําหนดความรวยกับความจน สังเกตจากชีวิตประจำวันของเราก็สามารถบอกได้ว่าคุณเป็นคนเก็บเงินได้ หรือเป็นคนเก็บเงินที่ไม่ได้ โดยเนื้อหาไม่ได้สอนแค่วิธีการออมเงินทั่ว ๆ ไปเท่านั้น แต่บอกอย่างชัดเจนว่า การใช้ชีวิตการแต่งงานการมีลูก หรือว่าการเกษียณนั่นเอง ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณมีวินัยในการเล่นเกมสล็อต ได้มากยิ่งขึ้น ถ้าหากมีการเข้าใจทักษะต่าง ๆ ที่ทางหนังสือมีให้ เพื่อนำมาปรับใช้ในการเล่นเกมสล็อตออนไลน์ของคุณ ให้มีวิธีการจัดการเงินทุนของตัวเอง ให้มีประสิทธิภาพ

Blue Chip Kids สอนลูกให้เป็นนักลงทุน

หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่เน้นไปทางทักษะในการเงินของตัวเอง ซึ่งจะเน้นไปในเรื่องของ การจัดการเงินของตัวเองให้สามารถมีมูลค่า และให้เป็นไปอย่างคุ้มค่ามากที่สุด เพราะว่าการลงทุนกับเกมสล็อตออนไลน์ ถือว่าเป็นอีกการลงทุนอีกแบบหนึ่งที่ต้องมีการจัดการเงินทุนของตัวเองให้คุ้มค่าที่สุด ถ้าหากใครได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ก็จะทำให้มีทักษะในการจัดการเงินของตนเองได้มากยิ่งขึ้น

ลงทุนแบบไหน ให้เข้ากับ Life Style ของแต่ละบุคคล เลือกวิธีลงทุน ตามความถนัด และสภาพคล่องของตัวเอง

ลงทุนแบบไหน ให้เข้ากับ Life Style ของแต่ละบุคคล เลือกวิธีลงทุน ตามความถนัด และสภาพคล่องของตัวเอง

ลงทุนแบบไหน

ลงทุนแบบไหน ให้เข้ากับ Life Style ของแต่ละบุคคล เลือกวิธีลงทุน ตามความถนัด และสภาพคล่องของตัวเอง

ลงทุนแบบไหน ให้เข้ากับ Life Style ของแต่ละบุคคล เลือกวิธีลงทุน ตามความถนัด และสภาพคล่องของตัวเอง ในปัจจุบันนั้น การลงทุนในหุ้น เรียกได้ว่าเป็นที่นิยม และเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากขึ้น เพราะอย่างที่ทราบกันดี ว่าผลตอบแทน ที่เกิดจากสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น เงินฝาก สลากออมสิน หรือพันธบัตรรัฐบาล จะอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก หรืออยู่ในระดับ ที่ต่ำกว่าการคาดหวัง แม้ว่า ตลาดหุ้นนั้น จะเป็นทางเลือก การลงทุนที่น่าสนใจ แต่ว่าเราจะเลือกลงทุนแบบใด ที่จะเหมาะกับตนเอง และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะเมื่อลงทุน ในตลาดหุ้น จะมองแค่ด้านของ ผลตอบแทนด้านเดียวไม่ได้ ต้องมองเรื่องความเสี่ยงด้วย โดยเฉพาะนักลงทุนมือใหม่ ควรรู้จักตนเอง Life Style เราเป็นแบบไหน รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน

ลงทุนแบบไหน ให้เข้ากับ Life Style ของแต่ละบุคคล เลือกวิธีลงทุน ตามความถนัด และสภาพคล่องของตัวเอง

ลงทุนแบบไหน ให้เข้ากับ Life Style ของแต่ละบุคคล เลือกวิธีลงทุน ตามความถนัด และสภาพคล่องของตัวเอง

รูปแบบการลงทุน

เมื่อ Life Style แตกต่างกัน การลงทุนที่เหมาะสม กับแต่ละคนนั้น ก็ย่อมแตกต่างกันไป หากอยากเริ่มต้น และประสบความสำเร็จ ในการลงทุน ก็ควรมีแผนการลงทุน ที่เหมาะสมกับตัวเราเอง และสอดคล้องกับ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ สำหรับมือใหม่ ที่อยากลงทุน ในหุ้น อาจลองเริ่มต้นศึกษา 2 รูปแบบการลงทุน ดังต่อไปนี้

  1. แผนการลงทุนระยะยาว (Long Term Investment) ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
    การลงทุนระยะยาวนั้น ก็เหมือนกันการวิ่งมาราธอน เป็นการค่อย ๆ สร้างความมั่งคั่ง อย่างมั่นคง การลงทุนแบบนี้ มีความผันผวนของตลาดที่ต่ำ โดยลักษณะของ การลงทุนระยะยาวนั้น นักลงทุนมักกำหนด วัตถุประสงค์ไว้ว่า เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง จะต้องการมีเงินจำนวนเท่าไหร่ เช่น ลงทุนเพื่อเกษียณในอีก 20 ปีข้างหน้า และต้องการมีเงินจำนวน XXXX บาท หรือ อีก 10 ปีข้างหน้า ต้องการมีเงินเก็บจำนวน YYYY บาท เป็นต้น กล่าวคือ เป็นการปล่อยให้เงินทำงาน เพื่อสร้าง Passive Income การลงทุนระยะยาว ควรจะเลือกลงทุนใน
  • หุ้นที่เป็นกิจการขนาดใหญ่ มีผลการดำเนินงานที่ดี และฐานะทางการเงินที่มั่นคง โดยเฉพาะ เมื่อพ้นวิกฤตต่าง ๆ แล้ว เม็ดเงินลงทุนมักจะกลับมา ในหุ้นใหญ่ ๆ เหล่านี้ เช่น หุ้นกลุ่ม SET50 ในกลุ่มอุตสาหกรรม (Sector) ใหญ่ ๆ เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร สื่อสาร ค้าปลีก ขนส่ง เป็นต้น
  • หุ้นเติบโต โดยต้องมี ผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และมีแนวโน้มเติบโตที่ดี
  • หุ้นปันผล ก็เป็นกลยุทธ์ชั้นดี ในการลงทุนเช่นกัน ควรเป็นบริษัทที่ มีนโยบายการจ่ายปันผล ที่ไม่น้อยกว่า 30-50% มีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล มากกว่า 5% ต่อปี

ซึ่งหุ้นทั้งสามกลุ่มนี้ เหมาะที่จะลงทุน แบบระยะยาว หากคาดการณ์ว่า สภาวะการลงทุน ยังไม่แน่นอน ก็ควรทยอยลงทุน แบบทยอยซื้อเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง ดังนั้น การลงทุนระยะยาวนั้น ยิ่งลงทุนได้นานมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะขาดทุน จะยิ่งน้อยลง และเพิ่มโอกาสทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงขึ้น

  1. แผนการลงทุนระยะสั้น ที่ไม่เกิน 3 ปี

การลงทุนระยะสั้น ถือเป็นการลงทุน ที่ได้รับความนิยม จากนักลงทุนมากอยู่ พอสมควร โดยมีการซื้อ – ขายบ่อย ทำกำไรระยะสั้น และต้องเป็นนักลงทุน ที่ตัดสินใจเด็ดขาด สามารถยอมรับความเสี่ยงได้สูง มีจุด Stop loss ที่แน่นอน หากราคาตลาดหุ้น ไม่เป็นตามคาด สำหรับการลงทุนระยะสั้นนั้น อาจเน้นไปที่ลงทุนในหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็ก เพราะมีโอกาสเติบโตสูง สามารถปรับตัวในวิกฤตต่าง ๆ ได้รวดเร็ว และง่าย แต่อาจจะจำเป็นต้องใช้ Market Timing (กลยุทธ์การจับจังหวะ) ร่วมด้วย เพื่อดูปัจจัยระยะสั้น และหาจังหวะการขาย เพื่อทำกำไรเป็นระยะ

ทั้งนี้ การลงทุนในระยะสั้นนั้น เงินที่ลงทุน ไม่ควรมีผลกระทบกับสถานะทางการเงิน และการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ของผู้ลงทุน

กลยุทธ์การลงทุนในหุ้น

กลยุทธ์ของการลงทุนในหุ้น จะมีอยู่ 2 แบบหลัก ๆ คือ Market Timing และ DCA ส่วนเรื่องที่ว่า แบบใดจะเหมาะกับเรา ลองมาศึกษาจากบทความนี้กัน

  1. Market Timing หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Lump sum คือ เป็นการลงทุนแบบเงินก้อน โดยประเมิน และคาดการณ์ทิศทางของตลาด ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ ปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยทางเทคนิค รวมถึงวิเคราะห์เศรษฐกิจประกอบกันด้วย เพื่อหาจังหวะการซื้อ-ขาย แล้วตัดสินใจลงทุน เพื่อให้สามารถ เข้าซื้อหุ้น ณ ราคาที่เหมาะสมได้ Market Timimg เหมาะกับใครบ้าง
  • นักลงทุนที่วิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจได้อย่างแม่นยำ
  • นักลงทุนที่มีความรู้ทางด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค
  • นักลงทุนที่มีเงินเป็นก้อน และกำลังรอจังหวะ เวลาการลงทุน ที่เหมาะสม
  1. DCA (Dollar Cost Averaging) คือการทยอยลงทุน แบบถัวเฉลี่ยต้นทุน ด้วยเงินที่เท่า ๆ กันทุกงวด โดยไม่สนใจราคาหุ้น ณ ตอนนั้นว่าจะสูงหรือต่ำ จึงมีโอกาส ได้รับผลตอบแทนที่ดี ในระยะยาว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กำไรสูงที่สุด แต่ก็ไม่มีทางขาดทุนแบบกู่ไม่กลับ DCA เหมาะกับใครบ้าง
  • นักลงทุนที่ไม่มีเวลาในการเฝ้าหน้าจอ หรือติดตามข้อมูลตลาด
  • นักลงทุนที่มีเงินเริ่มต้นลงทุนไม่มากนัก
  • นักลงทุนที่ต้องการสร้างวินัยในการลงทุน

ทั้งนี้ ไม่ได้มีวิธีใด ที่เป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่นักลงทุน จะต้องเลือกกลยุทธ์ ให้เหมาะกับตัวเรา เพราะแต่ละวิธีนั้น ก็มีข้อดี ข้อจำกัด และข้อควรระวังในการลงทุนแตกต่างกันไป

การตลาด Metaverse กับโลกเสมือนจริง Metaverse เทคโนโลยีสุดล้ำ แห่งโลกอนาคต ทำความรู้จักกับโลกจำลองเพื่อเตรียมรับมือธุรกิจแบบใหม่

การตลาด Metaverse กับโลกเสมือนจริง Metaverse เทคโนโลยีสุดล้ำ แห่งโลกอนาคต ทำความรู้จักกับโลกจำลองเพื่อเตรียมรับมือธุรกิจแบบใหม่

การตลาด Metaverse

การตลาด Metaverse กับโลกเสมือนจริง Metaverse เทคโนโลยีสุดล้ำ แห่งโลกอนาคต ทำความรู้จักกับโลกจำลองเพื่อเตรียมรับมือธุรกิจแบบใหม่

การตลาด Metaverse กับโลกเสมือนจริง Metaverse เทคโนโลยีสุดล้ำ แห่งโลกอนาคต ทำความรู้จักกับโลกจำลองเพื่อเตรียมรับกับธุรกิจแบบใหม่ในอดีตนั้น เราเคยฝัน ถึงเรื่องโลกเสมือนจริง ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ซึ่งในอนาตอันใกล้นนี้ มันจะไม่ใช่แค่เรื่องจินตนาการ หรือการจำลองฉาก เอาไว้เพียงในภาพยนต์ อีกต่อไป เมื่อการพัฒนาที่ก้าวไกล ของนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลาย ๆ แบรนด์ ต่างก็ให้ความสำคัญ กับเจ้า MarTech อย่าง Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) ซึ่งส่งผลให้เทคโนโลยี Metaverse กลายเป็น หนึ่งแนวคิดแห่งอนาคต ที่ใคร ๆ ก็พูดถึง ณ ขณะนี้

โลกเสมือนจริง การตลาด Metaverse เทคโนโลยีสุดล้ำ แห่งโลกอนาคต ทำความรู้จักกับโลกจำลองเพื่อเตรียมรับมือธุรกิจแบบใหม่

การตลาด Metaverse กับโลกเสมือนจริง Metaverse เทคโนโลยีสุดล้ำ แห่งโลกอนาคต ทำความรู้จักกับโลกจำลองเพื่อเตรียมรับมือธุรกิจแบบใหม่

Metaverse กลายเป็นกระแส มากยิ่งขึ้น เมื่อ Mark Zuckerberg เจ้าของแอพพลิเคชั่นยอดฮิต อย่าง Facebook ประกาศว่า จะเดินหน้าพัฒนาบริษัท ให้เป็น Metaverse Company ในอีก 5 ปีข้างหน้า จึงทำให้แบรนด์ต่าง ๆ ทั่วโลก สนใจนำเทคโนโลยี มาปรับใช้กับธุรกิจ เพื่อสร้างความโดดเด่น และเป็นผู้นำแห่งอนาคตกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Samsung, Mercedes และ Shopify นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยี ที่มีความเกี่ยวข้องกับ Metaverse อย่าง Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) ก็เข้ามา เป็นเครื่องมือทางการรตลาด (Martech) มากยิ่งขึ้น ในยุค Marketing 5.0 ซึ่งในปี 2021 ที่ผ่านมา มีประชากรโลก ที่มีประสบการณ์การ การใช้ทั้ง AR และ VR มากกว่า 85 ล้านคน

Metaverse คืออะไร

คือพื้นที่ดิจิทัล ที่จำลองสภาพแวดล้อม ที่เป็นโลกเสมือนจริง ให้กับผู้ใช้งาน ซึ่งผสมผสานเข้ากับ เทคโนโลยี จำลองภาพเสมือนจริง (Virtual Reality) และ การผสมผสาน ระหว่างโลกแห่งความเป็นจริง และโลกเสมือนหรือโลกจำลอง (Augmented Reality) โดย Metaverse นั้น เปรียบเสมือนการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ตแบบสามมิติ ที่อาจมีมากกว่า แค่แว่นตาสามมิติ ที่ใช้ดูภาพเสมือนจริงธรรมดา แต่อาจจะเป็น การท่องโลก Digital แบบใหม่ ที่ผู้ใช้สามารถ สร้างตัวตนแบบ Avatar เพื่อทำกิจกรรม ในโลกเสมือนได้ด้วยเช่นกัน

คุณลักษณะของ Metaverse

1. มีการเคลื่อนไหว อยู่ตลอดเวลา Metaverses ไม่เคยหยุดนิ่ง ถึงแม้ว่าคุณจะเลิกเข้าไป ในโลกเสมือนแล้วก็ตาม แต่สิ่งต่าง ๆ ในโลกเสมือน จะยังคงเคลื่อนไหว และดำเนินต่อไป Metaverse เกิดขึ้นในเวลาของ โลกปัจจุบัน Metaverse มีช่วงเวลา Timeline ที่ประสาน กับช่วงเวลาของโลก แห่งความเป็นจริงด้วย
2. ผู้ใช้งาน ต่างทำกิจกรรมส่วนตัว ได้โดยไม่ต้องข้องเกี่ยว กับผู้เล่นคนอื่น ๆ ผู้ที่เข้าไปอยู่ในโลก Metaverse ไม่จำเป็นต้อง มีปฏิสัมพันธ์อะไรกัน หรือทำกิจกรรมร่วมกัน แต่สามารถแชร์โลกเสมือนร่วมกันได้
3. เป็นจักรวาลที่มี การสร้างกลไล การทำงานได้ด้วยตัวเอง หมายความว่า Metaverse คือโลกเสมือนจริง ที่ผู้ใช้งาน เลือกที่จะสร้างสิ่งต่าง ๆ เป็นเจ้าของ ซื้อขาย หรือแม้แต่ลงทุนได้ เช่นเดียวกับ การทำกิจกรรมต่าง ๆ บนโลกของความเป็นจริงนั่นเอง เช่น การลงทุนในเทคโยโลยีบล็อคเชน เพื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินดิจิทัล เป็นต้น
4. มีแพลตฟอร์ม ที่หลากหลาย ที่คอยเชื่อมต่อกัน เช่น สามารถนำไอเท็ม จากเกมหนึ่ง ไปใช้กับอีกเกมหนึ่งได้
5. User-Generated Content ในโลกของ Metaverses ผู้ใช้งาน จะสามารถสร้างคอนเทนต์ ในรูปแบบของ User-Generated Content เพื่อให้ผู้ใช้งาน คนอื่น ๆ สามารถเข้ามา ร่วมแสดงความเห็น และทำกิจกรรมต่าง ๆได้

เรียนรู้ และทำความเข้าใจโลกของ Metaverse

เป็นเรื่องธรรมดา ที่ผู้คนจะรู้สึกถึง ความน่ารำคาญ เมื่อถูกโฆษณาสินค้าบางอย่าง เด้งขึ้นมาก่อกวน ดังนั้น ในโลกของ Metaverse ก็เช่นเดียวกัน การที่แบรนด์ต่าง ๆ พยายามจะเข้าไป อยู่ในโลกของ Metaverse จึงต้องทำการศึกษา และทำความเข้าใจ ถึงรูปแบบของ Metaverse เป็นอย่างดี ก่อนที่จะเข้าไป กำหนดแนวทาง หรือ แผนกลยุทธ์ ในการทำการรตลาดได้ ตัวอย่างเช่น ในแพลตฟอร์มของ Roblox แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ โดยส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นเคมเพญ ที่ร่วมมือกับนักพัฒนาของแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นผู้ที่ มีความเข้าใจในโลกของ Metaverse ได้เป็นอย่างดี เนื่องด้วย Metaverse นั้น ยังถือว่า เป็นเทคโนโลยี รูปแบบใหม่ จึงไม่ได้มีกฏเกณฑ์ รูปแบบ ข้อกำหนด หรือข้อบังคับ ที่ตายตัว สำหรับนักการรตลาด ในโลกของ Metaverse จึงยังต้อง อาศัยการทดลอง เพื่อพัฒนากลยุทธ์ และเทคนิค ในโลกใบใหม่ ในรูปแบบที่เสมือนจริง อย่างเหมาะสมกันต่อไป

สรุป

การตลาด Metaverse หรือพื้นที่จำลอง ในโลกดิจิทัล แบบเสมือนจริง จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในชีวิตของเรามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ทางด้านการศึกษา เกม ความบันเทิงต่าง ๆ และด้านธุรกิจ หากแบรนด์ของคุณ สามารถนำไอเดีย Metaverse มาใช้ ให้เข้ากับแคมเพญ หรือการสร้างคอนเทนต์ ของคุณให้โดดเด่นได้ จะเป็นช่องทางที่สำคัญ ที่จะนำลูกค้าของคุณ ไปสู่นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ล้ำยุค ล้ำสมัย และได้ประสบการณ์ แบบเฉพาะบุคคลมากขึ้น และนั่นคือ กุญแจที่จะนำแบรนด์ของคุณ ไปสู่การเปิดช่องทางในการขายแบบใหม่ และกลายเป็นที่รู้จัก ในตลาด ทั้งในรูปแบบออนไลน์ หรือ ออฟไลน์ก็ตาม

SWOT Analysis นำไปใช้ทำการตลาดออนไลน์อย่างไร

SWOT Analysis นำไปใช้ทำการตลาดออนไลน์อย่างไร

SWOT Analysis นำไปใช้ทำการตลาดออนไลน์อย่างไร

SWOT Analysis

          SWOT analysis เป็นหลักการวิเคราะสถานการณ์ของธุรกิจหรือองค์กร ว่าองค์กรเราอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เพื่อที่จะนำมาใช้วางแผนถึงแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมในการเดินหน้าธุรกิจ โดยจะเน้นไปที่การนำจุดแข็งและจุดอ่อนของสภาพแวดล้อมภายในมาประกอบการพิจารณาของโอกาสรวมไปถึงอุปสรรคภายนอก เพื่อใช้ในการหาแผนการที่ดีที่สุดให้กับองค์กร อีกทั้งยังคงเป็นพื้นฐานของการกำหนดกลยุทธ์ในรูปแบบต่างๆ ดังนั้นวันนี้เราจะพามาทำความรู้จักเครื่องมือที่สำคัญนี้โดยสังเขปกัน

SWOTanalysis คืออะไร

คือแผนยุทธศาสตร์ที่เป็นรูปแบบ ใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์ทางธุรกิจที่กำลังเผชิญอยู่ โดยจะประกอบด้วย 4 ปัจจัยหลัก และ คุณลักษณะของธุรกิจ เพื่อใช้ประกอบการ วิเคราะห์ คือ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสทางธุรกิจ และ อุปสรรคหรือภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นก้บธุรกิจ ดังนี้

1 Strengths (S) - จุดแข็ง

          Strengths คือจุดเด่นขององค์กรและธุรกิจของคุณ หรือก็คือปัจจัยอะไรก็ตามที่ทำให้ธุรกิจของคุณมีความได้เปรียบคู่แข่ง ในที่นี้สามารถแบ่งได้หลากหลายรูปแบบเช่น ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์, การมีต้นทุนที่น้อยกว่า, ทำการตลาดได้ดีกว่า, กลยุทธ์ทางการตลาดที่ครอบคลุม หรือแม้แต่ดีไซน์ของสินค้าที่มีความโดดเด่นและเข้าถึงผู้คนได้ง่ายกว่าก็จัดเป็นความได้เปรียบทางธุรกิจอย่างหนึ่ง

          ซึ่งเจ้าขององค์กรหรือธุรกิจ จะต้องให้ความสำคัญและกล้าที่จะลงทุนกับอะไรก็ตามที่สามารถเพิ่มศักยภาพในการทำให้ธุรกิจให้ได้เปรียบในตลาด เช่น การหาคอร์สเรียนให้กับคนในองค์กร, การเข้าใจถึงความสามารถที่เหมาะสมในงาน, เข้าใจแก่นแท้ของสิ่งที่เรามีไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการก็ตาม, หรือแม้แต่การรักษาคุณภาพของสินค้าและบริการเอาไว้ให้สูงหรือเท่ากับมาตรฐานอยู่ตลอด หากสามารถรักษาและพัฒนาในส่วนนี้ต่อไปได้อย่างตรงจุดและเหมาะสมก็จะเป็นผลดีกับตัวธุรกิจในการพัฒนาต่อไปได้

2 Weakness (W) - จุดอ่อน

          Weakness คือสิ่งที่แสดงถึง จุดอ่อน จุดด้อย รวมไปถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในองค์กรไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความสามารถของบุคลากร, ความขัดแย้งของคนในองค์กร, มาตรการการทำงาน, ค่าตอบแทนที่ไม่เท่าเทียมกับตัวงาน หรือแม้แต่ความเข้าใจในตัวธุรกิจที่ไม่มากพอของผู้ประกอบการ ฯลฯ ทั้งหมดล้วนส่งผลต่อการดำเนินการทางธุรกิจทั้งสิ้น

          Weakness นั้นไม่สามารถลบให้หายออกไปจากองค์กรได้ 100% แต่เราต้องรู้เท่าทันจุดอ่อนที่เกิดขึ้น ต้องหาวิธีการที่จะรับมือและแก้ไขมันให้เร็วที่สุด อาทิเช่น ปัญหาความขัดแย้งของคนในองค์กร เราจะต้องเข้าถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเหล่านั้นเสมือนว่าเราเป็นพนักงานคนหนึ่ง เพื่อทำความเข้าใจและหาทางออกของปัญหาให้ประนีประนอมมากที่สุด

          หรือจะเป็นจุดอ่อนด้านความสามารถของบุคลากร หรือแม้กระทั่งตัวของเจ้าของธุรกิจเอง ในส่วนนี้จะมีวิธีแก้ไขที่คล้ายกับการพัฒนาจุดแข็งก็คือการลงทุนในคอร์สเรียนต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับธุรกิจของตน เพื่อพัฒนาศักยภาพของคนในองค์กรให้คุ้มค่ากับทรัพยากรที่เสียไป อีกทั้งยังต้องเท่าทันสถานการณ์ในตลาดและเข้าใจสิ่งที่ตัวเองกำลังทำได้อย่างเชี่ยวชาญอีกด้วย

3 Opportunity (O) - โอกาส

          โอกาสคือสิ่งที่จะส่งผลลัพธ์ในรูปแบบของการสร้างประโยชน์ต่อธุรกิจจากภายนอกโดยที่ตัวองค์กรเองอาจไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำ ซึ่งก็จะมีปัจจัยหลากหลายอย่างที่จะช่วยส่งเสริมในการพัฒนาขององค์กร อาทิเช่น กระแสข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบธุรกิจของเรา, นโยบายของภาครัฐที่มีผลกับการตลาดในสายงานธุรกิจ ฯลฯ

          กล่าวโดยสรุป คือในส่วนนี้ทางผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการอัปเดตข่าวสารอย่างมาก เพราะว่าถ้าหากเราสามารถคาดเดาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างมีหลักการได้ เราก็สามารถเตรียมตัวและรวมไปถึงการวางกลยุทธ์ในการหาประโยชน์จากเหตุการณ์นั้นๆ และหาโอกาสทางธุรกิจให้มีประสิทธิภาพได้มากที่สุด

4 Threats (T) - อุปสรรค

          อุปสรรค หมายถึง ผลกระทบในเชิงลบที่เกิดจากปัจจัยภายนอก และส่งผลต่อธุรกิจไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ซึ่งถ้าหากว่าตัวธุรกิจไม่สามารถรับมือกับอุปสรรคที่เกิดขึ้นได้ อาจส่งผลร้ายกับการดำเนินกิจการ ในทางร้ายที่สุดคงถึงขั้นปิดธุรกิจไปเลย

          ซึ่งสาเหตุก็เป็นได้หลากหลายอย่างมากๆ ยิ่งกว่าการมองหาโอกาสเสียอีก เช่น สถานการณ์ทางการเมืองที่ตกต่ำ, ความนิยมที่ตกลงของตัวธุรกิจ, การ Disruption ของธุรกิจสายงานเดียวกัน, หรือแม้แต่ภัยพิบัติที่ส่งผลได้ทั้ง 2 ด้านแต่ส่วนมากจะส่งผลในด้านของ ‘อุปสรรค’ มากกว่า

 

 

          และนี่ก็คือปัจจัยที่สำคัญทั้ง 4 ข้อ ของเครื่องมือการวิเคราะห์องค์กรหรือธุรกิจอย่าง ‘SWOTAnalysis’ ซึ่งจุดประสงค์หลักของหลักการวิเคราะห์รูปแบบนี้ เพื่อให้องค์กรหรือผู้ประกอบการได้เห็นถึงภาพรวมของธุรกิจตัวเองที่กำลังดำเนินอยู่ หากทำความเข้าใจปัจจัยทั้ง 4 ได้อย่างเชี่ยวชาญและนำลักษณะที่องค์กรกำลังเป็นอยู่มาวิเคราะห์ตามความเป็นจริงแล้วล่ะก็ จุดแข็งก็จะแข็งขึ้น, จุดอ่อนก็ลดลงและเติบโตขึ้น, มองเห็นถึงโอกาสในสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี, และรู้เท่าทันอุปสรรคและเตรียมวิธีรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

TikTok เหตุผลที่ควรทำการตลาดผ่าน แอปพลิเคชัน

Tik Tok เหตุผลที่ควรทำการตลาดผ่าน แอปพลิเคชัน

Tik Tok

          Tik Tok คือแอปพลิเคชันที่เป็นบริการเครือข่ายสังคมสัญชาติจีน ติ๊กต็อกเป็นบริการประเภทไมโครบล็อกกิง (micro-blogging) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาวิดีโอสั้น ๆ ความยาวไม่เกิน 15 วินาที เช่น การแสดงทักษะหรือท่าเต้น การแสดงมุกตลก การร้องตามด้วยริมฝีปาก (ลิปซิงก์) เป็นต้น

          ซึ่งปัจจุบัน การตลาดบนสื่อดิจิทัลค่อนข้างมาแรง 1 ในนั้นคือแอปติ๊กต่อก และนี่คือเหตุผลว่าทำไมแรนด์จึงควรทำการตลาดผ่านแอปพลิเคชั่นนี้ วันนี้ทางเรา Olifun จึงได้รวบรวมเหตุผลสำคัญที่เราควร ทำการตลาดผ่าน แอปพลิเคชั่น

เหตุผลที่ควรทำการตลาดผ่าน แอปพลิเคชัน

TikTok เหตุผลที่ควรทำการตลาดผ่าน แอปพลิเคชัน

TikTok เป็นแหล่งรวมคลิปวิดีโอสั้น ที่มีคนใช้งานเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย

          อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ Oberlo ได้รายงานว่าผู้คนที่ใช้ TikTok มากถึง 41% เป็นกลุ่มอายุระหว่าง 16 – 24 ปี โดยเฉพาะกลุ่มคน Gen Z ซึ่ง TikTok กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของคนกลุ่มนี้ นอกจากนี้การที่แบรนด์จะหาเป้าหมายที่เป็นกลุ่ม ผู้ใหญ่ตอนต้น ซึ่งการที่จะเข้าถึงตลาดของคนกลุ่มนี้ได้ TikTok ถือว่าเป็นสื่อกลางที่ดี ในการเพิ่มโอกาสการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ อีกทั้งยังช่วยสร้างการรับรู้และขยายช่องทางการเข้าถึงธุรกิจได้ไปในตัว

นำเสนอสินค้า และ บริการให้กับลูกค้าได้ภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว

          ธุรกิจสามารถใช้แพลตฟอร์มนี้ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์เกี่ยวกับสินค้าแบรนด์ของคุณ โดยที่ผู้รับชมจะมองว่าเป็นการเล่าเรื่อง ทำให้ไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดในการขายสินค้าที่มากเกินไป และ ยังได้ใช้เวลาเพลิดเพลินกับคอนเทนต์ที่นำเสนอ เป็นตัวช่วยในการเข้าถึงลูกค้า นำไปสู่เป้าหมายของการสร้างการรับรู้แบรนด์ และอาจเป็นการเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ เมื่อมีคนสนใจกดเข้ามาที่หน้าโพร์ไฟล์

Engagement สูงเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่น

          โดยเว็บไซต์ Influencer Marketing Hub ระบุว่า ระดับการมีส่วนร่วมของ TikTok สามารถเอาชนะแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหมดโดยสามารถแชร์ไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้ ทำให้คอนเทนต์วิดีโอมีความแพร่หลาย

สร้างจุดแข็งให้กับกลยุทธ์ Influencer Marketing ได้

          Tiktok กลายเป็นแหล่งรวมตัวของครีเอเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น สายเต้น สายความงาม ไลฟ์สไตล์ ท่องเที่ยว เกี่ยวกับอาหาร หรือ คอนเทนต์ให้ความรู้ ซึ่งเรียกได้ว่ามีความหลากหมายมาก ๆ และนั้นถือเป็นประโยชน์ต่อแบรนด์ในการสร้างพาร์ทเนอร์กับ Influencer หรือ ผู้คนที่มีอิทธิพลบนสื่อออนไลน์เหล่านี้ ที่นอกจะสามารถช่วยสร้าง Brand Awareness แล้ว ยังส่งผลดีต่อธุรกิจด้วย เพราะลูกค้าให้ความรู้สึกเชื่อถือกับบุคคลที่ติดตาม ที่ชื่นชอบ หรือบางครั้งต้องการที่จะสนับสนุนสินค้าที่โปรโมต ทำให้รู้สึกอยากซื้อสินค้านั้น ๆ ตาม Influencer ทำให้ทางแบรนด์ได้รับความไว้วางใจ และได้ผลลัพธ์ที่ดีมีประสิทธิภาพ  

กระแส Challenge Campaign

          ถ้าหากแบรนด์ได้มีการใช้เวลาบน TikTok และทำความเข้าใจการทำงานของแพลตฟอร์มนี้ ก็จะมีโอกาสที่จะได้ Target Audience เป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีการปฏิสัมพันธ์บนสังคมออนไลน์ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง แบรนด์อาจจะวิธีการดึงดูดผู้ใช้กลุ่มเป้าหมายนี้ให้เข้ามามีส่วนร่วม โดยการสร้างแคมเปญ ทำชาเลนจ์ โดยธุรกิจต้องโฟกัสไปที่เรื่องราวที่ได้รับความสนใจ สิ่งที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อ สร้าง Challenge Campaign ให้ตรงใจผู้ใช้งาน เมื่อวิดีโอ Challenge สามารถสร้างความดึงดูดความสนใจจากผู้ใช้งานส่วนใหญ่ได้แล้ว ก็จะกลายเป็นกระแสไวรัล และถูกแชร์ออกไปได้อย่างรวดเร็ว เกิดความแมส และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ ทำให้การโปรโมต การสร้างการเข้าถึงการมีส่วนร่วม และการรับรู้แบรนด์ เพิ่มมากยิ่งขึ้น

สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำ Influencer Marketing ได้เป็นอย่างดี

          หากคุณคิดว่าการทำ Influencer Marketing เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการขับเคลื่อนธุรกิจและสร้าง Brand Awareness ในปัจจุบัน TikTok ก็จะกลายเป็นสิ่งที่คุณจะขาดไม่ได้ หากคุณต้องการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจด้วยกลยุทธ์ Influencer Marketing

          เมื่อทุกวันนี้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ รวมไปถึงตัว Influencer เองก็ไม่ได้อยู่แค่แพลตฟอร์มที่เราคุ้นเคย อย่าง Facebook หรือ Instagram จึงเป็นเหตุให้ทั้งนักการตลาด รวมไปถึงแบรนด์ ต้องตามไปหาพื้นที่ในการประชาสัมพันธ์สินค้าบนแพลตฟอร์มใหม่ๆ อย่าง Tik Tok  ซึ่งถ้าพูดกันในเชิงเทคนิคแล้วแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย กับการประชาสัมพันธ์ รีวิวสินค้าบนสื่อ Social Media ตัวอื่นๆ

แต่ข้อดีที่คุณจะได้มาเมื่อใช้กลยุทธ์ Influencer Marketing บน TikTok นั่นก็คือความแปลกใหม่ในการสร้างสรรค์ Content ของเหล่า Influencer ขยายความก็คือ คุณอาจจะเคยเห็นการรีวิวสินค้าของเหล่าของเหล่า Influencer ในช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook , Instagram หรือ Youtube กันจนเบื่อแล้วใช่ไหมครับ แต่สำหรับ TikTok นั้นจะแตกต่างกันออกไป ด้วยข้อดีที่มีลูกเล่นมากกว่าการถ่ายวีดีโอทั่วไป และจำนวนผู้เล่นที่มากมายในแต่ละวัน ทำให้มัน “ง่าย” ในการจะสร้างสรรค์ความเป็น Viral Content ขึ้นมา มากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ ประกอบกับจำนวนยอด Engagement ที่ TikTok ทำได้ดีกว่าช่องทางอื่น

          ซึ่ง ณ ตอนนี้ไม่ว่าจะแบรนด์ใหญ่หรือแบรนด์เล็ก ก็ขอกระโดดลงมาร่วมวงการตลาดใน TikTok ผ่าน Influencer กันแล้วทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าการทำ Influencer Marketing ผ่านแพลตฟอร์ม TikTok นี้จะประสบความสำเร็จทุกครั้งเสมอไปนะครับ สุดท้ายยังไงก็ต้องขึ้นอยู่กับวิธีการสร้างสรรค์ Content ให้น่าสนใจและจำนวนผู้ติดตามของ Influencer แต่ละคนที่คุณเลือกมาด้วยเช่นกัน

5 ขั้นตอนของ Digital Marketing

5 ขั้นตอนของ Digital Marketing

5 ขั้นตอนของ Digital Marketing

        5 ขั้นตอนของ Digital Marketing  ในปัจจุบันเรียกได้ว่าเกือบทุกแบรนด์ที่เรารู้จักกันได้หันมาทำการตลาดในรูปแบบ Ommichannel หรือ เข้ามาในฝั่งของ Digital Marketing กันมากยิ่งขึ้น ซึ่งย่อมนำมาสู่ความท้าทายในการแข่งขันที่นักการตลาดต้องรับมือมากยิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ ดังนั้นเรามาดูขั้นตอนในการวางแผนการทำ Digital Marketing ให้มีประสิทธิภาพกันค่ะ

5 ขั้นตอนของ Digital Marketing

1. Plan : ตั้งเป้าหมายที่ต้องการสำหรับธุรกิจ

    ขั้นตอนแรกเริ่มสำหรับการวางแผน Digital Marketing คือ การกำหนดเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการเพื่อนำไปสู่การวางกลยุทธ์ทางการตลาดให้เหมาะสมไปกับเป้าหมาย โดยข้อสำคัญในการกำหนดเป้าหมายจะต้องประกอบไปด้วย

          – การทำความเข้าใจแบรนด์ หรือ Brand Statement เพื่อนำไปสู่การสื่อสารของแบรนด์ และการกำหนด Value proposition หรือคุณค่าของแบรนด์ ซึ่งสามารถระบุได้ว่าสินค้า และบริการสามารถแก้ปัญหาของลูกค้าได้อย่างไร มีประโยชน์อย่างไร และทำไมลูกค้าควรซื้อจากบริษัทนี้และไม่ใช่บริษัทอื่น เพื่อนำ Brand Statement นี้เป็นหลักในการนำเสนอแบรนด์ต่อไป

          – การกำหนด KPI (Key Performance Indicator) บนช่องทางต่างๆ ที่ชัดเจนด้วยเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง (SMART Goal) โดยการคำนึง

          – ความเฉพาะเจาะจงของ Goal ให้ไม่กว้างจนเกินไป (Specific)

          – สามารถวัดผลได้ (Measurable)

          – เป็นเป้าหมายที่เอื้อมถึงได้สอดคล้องไปกับ Resource ที่มีอยู่ (Achievable และ Relevant)

          – มีการกำหนดเวลาชัดเจนว่าต้องการบรรลุเป้าหมายภายในเวลาเท่าไหร่ (Timed) 

          โดยจะใช้หลักการ 5’s

          Sell – กำหนดเป้าหมายในการขายและการรักษาฐานลูกค้าเอาไว้

          Serve – กำหนด เป้าหมายในการบริการเพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจมากที่สุด

          Sizzle – กำหนดเป้าหมายในการสร้างคุณค่าให้กับสินค้าหรือบริการให้เกินความคาดหมายของลูกค้า

          Speak – กำหนดเป้าหมายในการสื่อสารเพื่อให้ลูกค้ามีส่วนร่วม

           Save – กำหนดเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพ

2. Reach : สร้างให้แบรนด์กลายเป็นที่รู้จัก

    หลังจากที่มีการกำหนดเป้าหมายที่ต้องการอย่างชัดเจนแล้ว จึงนำมาสู่ขั้นตอนถัดมาคือ การทำให้แบรนด์กลายมาเป็นที่รู้จัก ซึ่งจะนำมาสู่ความน่าเชื่อถือของแบรนด์และยอดขายที่ตามมาได้ค่ะ ซึ่งแนวทางในการสร้าง มีตัวอย่างดังต่อไปนี้  

          – ทำคอนเทนต์ให้ความรู้อาจจะอยู่ในรูปแบบของบทความ, Infographic หรือ VDO ที่สามารถให้ความรู้แก่ผู้ติตตาม และเกิดการแชร์คอนเทนต์ต่อ

          – Give away หรือสร้างเคมเปญให้สินค้าทดลองใช้ได้ฟรี

          – ทำ SEO (Search Engine Optimization) ให้แบรนด์ติดอันดับแรกๆ ของการค้นหาเพิ่มโอกาสให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น  

3. Act: สร้างความสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นให้เกิดความสนใจกับแบรนด์

    หลังจากที่กลุ่มเป้าหมายได้เริ่มรู้จักแบรนด์ของเราแล้ว ขั้นตอนต่อมาจึงเป็นการกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายกระทำบางสิ่งตามเป้าหมายที่แบรนด์ตั้งเอาไว้ โดยเป็นการทำให้กลุ่มเป้าหมายเกิดการ มีปฎิสัมพันธ์ต่อแบรด์ โดยอาจอยู่ในรูปแบบต่อไปนี้ การติดตามช่องทางต่างๆ ของแบรนด์ การกด Download E-book จากแบรนด์ การเข้ามาอยู่ในฐาน Database บน E-mail Marketing  หรือทางสื่อโซเชียลต่าง ๆ เช่น Facebook, Instagram, Tik tok เป็นต้น

4. Convert : เปลี่ยนความสนใจไปสู่ Conversion ที่นำไปสู่ยอดขาย

    ขั้นตอนต่อมาถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่หลายธุรกิจให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงให้ความสนใจในแบรนด์มาเป็น Conversion หรือ นำไปสู่การขายนั่นเองค่ะ   ในขั้นตอนนี้จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงผู้ติดตามที่อาจจะกด Follow แบรนด์ของเราอยู่แล้วให้กลายมาเป็นลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อสินค้าจากแบรนด์ของเรานั่นเองค่ะ โดยมีแนวทางในการทำหลากหลายรูปแบบเช่น ออกโปรโมชั่นสำหรับสินค้าที่มีความคุ้มค่าและน่าสนใจ ลงคอนเทนต์โปรโมทสินค้าบนช่องทาง Social Media ต่างๆ ทำ UGC (User generated content) จากลูกค้าเก่าของแบรนด์  

5. Engage : สร้างความสัมพันธ์ที่มีต่อแบรนด์ในระยะยาว

    Engage เป็นส่วนของการสร้างการมีส่วนร่วมต่อแบรนด์เพื่อให้เกิดการพัฒนาความสัมพันธ์ในระยะยาว ที่เราเรียกว่า Loyalty Customer หรือกลุ่มลูกค้าที่กลายเป็นแฟนตัวยงเพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำในอนาคต โดยมีตัวอย่างดังต่อไปนี้ การทำ Retargeting  สร้าง Community หรือ จัดกิจกรรมสำหรับลูกค้าประจำ มอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าสมาชิก

          และนี่ก็คือ 5 ขั้นตอนในการทำงาน ซึ่งจะกำหนดกรอบการทำงานและกลยุทธ์ทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้และสื่อสารให้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกันทั้งองค์กร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในการผลักดันสินค้าหรือบริการให้เป็นที่รู้จักและยอมรับ จนยอดขายพุ่งทะยานอย่างมั่นคงและเป็นระบบ