ป้ายกำกับ: Lifestyle

ฉีดโบท็อกซ์ รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจฉีด และวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด

ฉีดโบท็อกซ์ รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจฉีด และวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด

ฉีดโบท็อกซ์

ฉีดโบท็อกซ์ รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจฉีด และวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด

การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) คือ การนำสาร Botulinum Toxin A ที่สกัดมาจากแบคทีเรีย คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) มาฉีดเข้าที่ผิวหนังบริเวณใบหน้าของเรา เพื่อลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย และปรับรูปหน้าให้เรียวกระชับตามต้องการ ซึ่งผู้ใช้จริงหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า โบท็อกซ์นั้น สามารถให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ภายในระยะเวลาที่รวดเร็วมาก อีกทั้งยังสร้างความมั่นใจ ให้กับผู้มีปัญหาเกี่ยวกับใบหน้า ได้เป็นอย่างดี

รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อกซ์ และวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด

ฉีดโบท็อกซ์แล้วโบท็อกซ์ออกฤทธิ์ และส่งผลกับบริเวณที่ฉีดอย่างไรบ้าง เมื่อได้ทำการฉีดให้กับเราแล้ว สาร Botulinum Toxin A จะเข้าไปทำให้เซลล์ประสาทบริเวณกล้ามเนื้อที่ฉีด หยุดการหลั่งสารสื่อประสาทออกมา จนทำให้เรารู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวหดตัว ชา และตึง จนไม่สามารถขยับได้หรือขยับได้น้อย และเมื่อฉีดไปสักครู่ กล้ามเนื้อส่วนที่ฉีดก็จะค่อย ๆ คลายตัวออกมา และทำให้ร่องลึกบนใบหน้าเราดูจางลง ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ระยะเวลาการเห็นผลจะแตกต่างกันไป ดังนี้

  • หลังการฉีด 2 – 3 วัน ริ้วรอยต่าง ๆ จะเริ่มดูจางลง
  • หลังการฉีด 7 – 14 วัน ริ้วรอยและร่องลึกต่าง ๆ จะเริ่มดูจางลง

เนื่องจากโบท็อกซ์ เป็นสารธรรมชาติที่สกัดจากแบคทีเรีย คลอสตริเดียม โบทูลินัม ร่างกายก็จะค่อย ๆ สลายโบท็อกซ์ไป เมื่อเวลาผ่านไป 6 – 12 เดือน แตกต่างกันไปตามการดูแล และชนิดของโบท็อกซ์ที่เลือกใช้

ฉีดโบท็อกซ์ รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจฉีด และวิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด

ฉีด BOTOX ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง

  • ช่วยเติมเต็มร่องลึกทุกส่วนบนใบหน้าได้ โดยเฉพาะร่องแก้ม
  • ผู้ใช้หลาย ๆ คนเห็นผลว่า สารที่ฉีดยังสามารถช่วยยกกระชับผิวหน้าที่หย่อนคล้อยได้ และเพิ่มความเต่งตึงให้กับผิวหนังทันที หลังทำ ไม่ต้องพักฟื้น
  • โบท็อกซ์สามารถช่วยปรับลดขนาดกล้ามเนื้อ ให้ดูเล็ก และอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น

สามารถฉีด BOTOX บริเวณใดได้บ้าง

  • การฉีด BOTOX นั้นสามารถทำได้กับทุกบริเวณที่มีริ้วรอยและร่องลึก โดยส่วนใหญ่แล้ว มักนิยมฉีดในบริเวณที่ มีริ้วรอยที่มักจะเกิดจากการแสดงอารมณ์ เช่น หน้าผาก ตีนกา และริ้วรอยหางตาที่เกิดจากการยิ้มหรือหัวเราะ เป็นต้น นอกจากนี้ โบท็อกซ์ยังสามารถนำไปฉีดที่บริเวณคิ้ว เพื่อช่วยทำให้ดวงตาดูกลมโตและอ่อนวัยมากยิ่งขึ้นได้ด้วย
  • สำหรับการฉีด BOTOX ในส่วนของร่องแก้ม ริ้วรอยริมฝีปาก คอ หรือคางนั้น แพทย์อาจจะสามารถใช้โบท็อกซ์ร่วมกับคอลลาเจน หรือ การทำทรีทเมนต์ด้วยเลเซอร์ เพื่อเป็นการฟื้นฟูสภาพผิว และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้
  • โบท็อกซ์ นิยมนำไปฉีด เพื่อปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น โดยจะนิยมฉีดบริเวณแนวขากรรไกร และแก้ม

ต้องดูแลตัวเองอย่างไรหลังฉีด BOTOX

  1. นอนอย่างถูกวิธี
    อย่าลืมว่า โบท็อกจำเป็นต้องใช้เวลาในการทำงาน และเซ็ตตัว ดังนั้น หลังฉีด BOTOX แล้ว ผู้ฉีดจึงควรเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลตัวเอง สำหรับการนอนใน 24 ชม. แรกนั้น ผู้ที่เพิ่งฉีด BOTOX มาใหม่ ๆ ห้ามนอนตะแคง และ ควรนอนหงาย รวมถึง การเลือกใช้หมอนหนุนหัวที่สูง รวมถึงใน 3 – 4 ชม. แรกเป็นอย่างต่ำก็อย่าเพิ่งเผลอนอนราบ หรือ ยังไม่นอนเลยจะดีที่สุด เพราะอาจทำให้โบท็อกซ์ที่ฉีดจะไหลไปที่อื่นได้
  2. ห้ามนวดเด็ดขาด
    การนวด ถือเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่อาจทำให้โบท็อกซ์ ไหลไปยังบริเวณส่วนอื่น ๆ ของกล้ามเนื้อ ไม่ว่าจะเลือกฉีดยี่ห้อไหนก็ดี หลังฉีดแล้วต้องจำไว้ว่า อย่านวด คลึง จับ บีบ กด ใด ๆ ทั้งสิ้น อย่างน้อยก็ต้องทิ้งระยะ หลังการฉีดให้ได้มากกว่า 7 – 10 ชม. เพื่อที่จะแน่ใจได้ดีที่สุด
  3. หลีกเลี่ยงความร้อน
    เรื่องนี้ควรเลี่ยงทั้งก่อนฉีด และหลังฉีด อย่างน้อยก็สัก 2 สัปดาห์ เพราะหากบริเวณที่ฉีดเจอกับความร้อนนาน ๆ อาจทำให้โบท็อกซ์กระจายตัว และสลายเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
  4. ประคบเย็น
    การประคบเย็น ในบริเวณที่ฉีด จะช่วยลดอาการบวมแดงในช่วงแรก ๆ ได้ และยังส่งผลให้ใบหน้าเข้ารูปไวจากการอักเสบ ที่ลดลงไปอีกด้วย
  5. งดสูบบุหรี่ และการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
    การดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ มีส่วนทำให้โบท็อกซ์เสื่อมคุณภาพเร็ว ดังนั้นผู้ฉีดควรงดเป็นอย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังฉีด
เทคนิคการเสริมจมูก แบบเปิดและแบบปิด แบบไหนดีกว่ากัน แนะนำขั้นตอนที่ต้องรู้ก่อนและหลังเสริมจมูก

เทคนิคการเสริมจมูก แบบเปิดและแบบปิด แบบไหนดีกว่ากัน แนะนำขั้นตอนที่ต้องรู้ก่อนและหลังเสริมจมูก

เทคนิคการเสริมจมูก

เทคนิคการเสริมจมูก แบบเปิดและแบบปิด แบบไหนดีกว่ากัน แนะนำขั้นตอนที่ต้องรู้ก่อนและหลังเสริมจมูก

เทคนิคการเสริมจมูก จะมีด้วยกัน 2 แบบใหญ่ ๆ คือ เทคนิคการผ่าตัดแบบปิด (CLOSED RHINOPLASTY) และเทคนิคการผ่าตัดแบบเปิด (OPEN RHINOPLASTY) รายละเอียดจะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย

เทคนิคการเสริมจมูก แบบเปิดและแบบปิด แบบไหนดีกว่ากัน แนะนำขั้นตอนที่ต้องรู้ก่อนและหลังเสริมจมูก

เทคนิคการเสริมจมูก แบบเปิดและแบบปิด แบบไหนดีกว่ากัน แนะนำขั้นตอนที่ต้องรู้ก่อนและหลังเสริมจมูก

เทคนิคการผ่าตัดแบบปิด (CLOSED RHINOPLASTY)

การเสริมรูปแบบนี้ เป็นการเสริมจมูกในรูปแบบที่มีแผลจากรอยกรีด ซึ่งจะเป็นแผลเพียงด้านเดียว หรือสองด้านนั้นก็ได้ แล้วแต่ความถนัดของแพทย์ หมอจะฉีดยาชาผิวหนังบริเวณที่จะทำการเสริมจมูก จากนั้นค่อย ๆ ทำการเลาะไปในโพรงจมูก แล้ววางซิลิโคนลงไป จากนั้นคุณหมอจะเย็บปิดแผลด้านในโพรงจมูก หลังจากห้องผ่าตัดเจ้าหน้าที่จะทำการบล็อกเฝือกอ่อน เพื่อป้องกันการเคลื่อนของจมูก ป้องกันการเบี้ยวเอียงของสัน การผ่าตัดแบบ Closed นี้ เหมาะสำหรับคนที่มีรูปทรงจมูกที่ค่อนข้างดีในระดับหนึ่ง ไม่มีปัญหาเรื่องโครงสร้างจมูก

ข้อดี : ราคาไม่แพง ไม่มีรอยแผลเป็นด้านนอก การฟื้นตัวก็จะเร็วกว่าการผ่าตัดแบบเปิด ไม่ต้องวางยาสลบ ในกรณีที่เกิดปัญหา แพทย์สามารถแก้ไขได้ง่ายกว่าการผ่าตัดแบบเปิดผลการผ่าตัดออกมาสวย

ข้อเสีย : มีโอกาสซิลิโคนทะลุ หากเสริมซิลิโคนที่โด่งเกินไป หากรูปทรงจมูกเป็นทรงชมพู่ไม่สามารถแก้ไขได้

เทคนิคการผ่าตัดแบบเปิด (OPEN RHINOPLASTY)

เป็นการผ่าตัดแบบเปิดจมูกด้านหน้า ทำให้มีแผลเป็น กรณีเสริมจมูกแบบ open ซึ่งเป็นการผ่าตัด คนไข้จะต้องงดน้ำ งดอาหารมาอย่างน้อย 1 วันเพื่อตรวจเลือด และ X-ray ดูความพร้อมของปอดในการวางยาสลบ ก่อนการผ่าตัดและหลังผ่าตัดจะต้องพักฟื้นอย่างน้อย 1 คืน

ข้อดี : หมอจะเห็นโครงสร้างจมูกของคนไข้ได้อย่างชัดเจน และตรงจุดมากกว่าการผ่าตัดแบบปิด และสามารถแก้ไขได้อย่างตรงจุด

ข้อเสีย : ราคาสูงกว่าและใช้เวลาในการผ่าตัดนานกว่าการผ่าตัดแบบปิด หากมีปัญหาหลังทำ วิธีการแก้ไขจะยากกว่า และบางรายอาจมีแผลเป็นบริเวณด้านนอกจมูก และการฟื้นตัวใช้เวลานาน มีโอกาสซิลิโคนทะลุ หากเสริมซิลิโคนที่โด่งเกินไป

4.ขั้นตอนที่ต้องรู้ก่อนและหลังเสริมจมูก

ขั้นตอนที่ 1


เลือกคลินิกเสริมจมูก ให้ดี และศึกษาหาข้อมูลให้มาก

  1. ตรวจสอบประวัติหมอที่จะทำการผ่าตัดให้เรา
  2. ตรวจสอบ และหาคลินิกได้รับใบอนุญาต สะอาดปลอดภัย
  3. หมอต้องให้คำปรึกษาอย่างตรงจุด
  4. ซิลิโคนที่ใช้ต้องเกรดดี มีคุณภาพ
  5. ดูรีวิวที่เชื่อถือได้เเละราคาที่เหมาะสม
  6. มีการรับประกันหลังทำ

ขั้นตอนที่ 2


เลือกทรงจมูกที่ใช้ ในแบบของคุณ : การที่มีจมูกรับพอดีกับใบหน้า จะทำให้ใบหน้าสวยดูมีมิติ ซึ่งในปัจจุบัน การศัลยกรรมจมูกนั้น ก็ถือเป็นเรื่องปกติของสาว ๆ ไปแล้ว แต่ในบางครั้ง การเลือกทรงจมูกที่ไม่เข้ากับรูปหน้าของตัวเอง ก็เรียกได้ว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา ดังนั้น ก่อนทำก็ต้องศึกษาข้อมูล และรูปทรงจมูกให้ละเอียด เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดตามมา

ซึ่งมันก็อยู่ที่ความชอบ และความเหมาะสมในฐานทรงจมูกเดิมของแต่ละบุคคล และต้องไม่ลืมว่า ไม่ควรขอให้หมอใส่ซิลิโคน ที่ฝืนเนื้อของตัวเองมากจนเกินไป เพราะจะเสี่ยงที่จะทำให้ปลายจมูกบาง และทำให้จมูกทะลุได้ในที่สุด

ขั้นตอนที่ 3


เตรียมตัวก่อนเสริมจมูก

  1. สระผมให้สะอาดก่อนไปผ่าตัดเสริมจมูก เนื่องจาก เมื่อเสริมจมูกไปแล้ว จะต้องระมัดระวังไม่ให้แผลโดนน้ำเด็ดขาด
  2. ควรงดรับประทานอาหารเสริมทุกชนิด อย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด
  3. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด
  4. งดรับประทานยากลุ่มแอสไพริน อย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด
  5. แจ้งรายละเอียด เกี่ยวกับประวัติการแพ้ยา และโรคประจำตัว ก่อนการผ่าตัด
  6. พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูเต็มที่ก่อนการผ่าตัด

ขั้นตอนที่ 4


ดูแลตัวเองหลังเสริมจมูก เรื่องสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม

  1. หลังจากที่เสริมจมูกไปใน 1-3 วันแรก ให้ประคบเย็นด้วยคูลแพ็ค และวันที่ 4 เป็นต้นไป ให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่น โดยจุดในการประคบเย็น จะมีทั้งหมด 4 จุด ดังนี้ สันจมูกด้านซ้ายและขวา, สันจมูกตรงกลางด้านบน, ระหว่างคิ้ว
  2. ควรนอนโดยใช้หมอนรองคอช่วย และงดการนอนราบ และนอนตะแคง 1 เดือน
  3. งดรับประทานอาหารหมักดอง หรืออาหารที่มีรสเผ็ดจัด เพราะจะทำให้แผลหายช้า
  4. ห้ามแคะ แกะ เกา บริเวณจมูก และระมัดระวัง อย่าให้จมูกได้รับการกระทบกระเทือนรุนแรง เพราะอาจทำให้เบี้ยวได้
  5. ควรระมัดระวัง ไม่ให้แผลโดนน้ำ หากรู้สึกคัน ในบริเวณจมูก ให้ใช้คอตตอนบัด หรือสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดอย่างเบามือที่สุด
  6. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ 1 เดือน
  7. รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างถี่ถ้วน
  8. หลังผ่าตัด เมื่อครบ 14 วันควรไปตัดไหมตามนัด
วิธีแก้ขี้เกียจ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขี้เกียจไปหมด หมดไฟ หมดแรง วิธีเอาชนะความขี้เกียจ เพื่อให้ชีวิตและงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิธีแก้ขี้เกียจ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขี้เกียจไปหมด หมดไฟ หมดแรง วิธีเอาชนะความขี้เกียจ เพื่อให้ชีวิตและงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิธีแก้ขี้เกียจ

วิธีแก้ขี้เกียจ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขี้เกียจไปหมด หมดไฟ หมดแรง วิธีเอาชนะความขี้เกียจ เพื่อให้ชีวิตและงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิธีแก้ขี้เกียจ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขี้เกียจไปหมด หมดไฟ หมดแรง วิธีเอาชนะความขี้เกียจ เพื่อให้ชีวิตและงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นเชื่อว่า หลาย ๆ คนตอนนี้ น่าจะอยู่ในช่วง Work from home ซึ่งในบางบริษัท อาจจะใช้วิธีสลับทีมทำงานก็ได้ แต่อุปสรรคสำคัญ อย่างหนึ่งของคนที่ WFH คือ ความขี้เกียจ ฟังแล้วอาจจะดูเป็นคำที่รุนแรง แต่อยากให้เปิดใจยอมรับ ว่าคนเราทุกคนมีความขี้เกียจอยู่ในตัว จะมากจะน้อยก็มีอย่างแน่นอนขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และยิ่งถ้าต้องมาทำงานที่บ้าน ซึ่งมีสิ่งอำนวยเอื้อที่จะทำให้เรา รู้สึกขี้เกียจได้บ่อย ๆ ก็ยิ่งเป็นความท้าทาย ที่จะทำให้เราลุกขึ้นมา ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้น เราจะขอแนะนำวิธี ที่จะช่วยให้คุณเอาชนะความขี้เกียจนี้ให้ได้

ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขี้เกียจไปหมด หมดไฟ หมดแรง วิธีเอาชนะความขี้เกียจ เพื่อให้ชีวิตและงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิธีแก้ขี้เกียจ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขี้เกียจไปหมด หมดไฟ หมดแรง วิธีเอาชนะความขี้เกียจ เพื่อให้ชีวิตและงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผลเสียจาก ความขี้เกียจ

– ความขี้เกียจจะบั่นทอนความคิดสร้างสรรค์
– ความขี้เกียจอาจจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพ
– ความขี้เกียจ สามารถลดทอนความทะเยอทะยานได้
– ความขี้เกียจทำให้เราละเลยคนรอบข้าง
– ลดทอนช่วงเวลาอันมีประสิทธิภาพของชีวิตลง

7 วิธีในการเอาชนะความขี้เกียจ

1) ย่อยงานใหญ่หรืองานยาก ให้เล็กลง

โดยส่วนใหญ่แล้ว คุณมักจะหลีกเลี่ยงงานยาก ๆ เพราะว่าคุณมักจะคิดว่ามันใหญ่ และซับซ้อนเกินไป คุณจึงรู้สึกกลัว ที่จะทำ หรือกลัวว่าจะทำไม่สำเร็จ ดังนั้น เมื่อคุณเริ่มทำงานที่มีความใหญ่และยาก ลองแยกย่อยมันให้เล็กลง ซึ่งวิธีแบบนี้ จะช่วยแก้ปัญหาความขี้เกียจได้จริง เพราะการแตกงานให้ย่อยเล็กลง จะทำให้ความรู้สึกว่างานไม่ยาก และทำเสร็จในเวลาไม่มากนัก

2) ค้นหาสาเหตุแห่งความขี้เกียจ

เมื่อคุณเริ่มรู้สึกขี้เกียจ ลองนั่งทบทวนความรู้สึกของตนเอง และทำความเข้าใจกับตัวเองให้ดี ๆ ว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น กับความรู้สึกนั้น เพราะบางทีความขี้เกียจอาจจะมีเหตุผลบางอย่างอยู่เบื้องหลังก็ได้ คุณอาจจะต้องนั่งหาเหตุผล ถึงสาเหตุที่มันเกิดขึ้นว่าเพราะอะไรกันแน่

3) การตั้งเป้าหมาย

หากคุณมีเป้าหมาย หรือตั้งเป้าความสำเร็จเอาไว้ ก็จะทำให้คุณมีบางสิ่งบางอย่าง ที่สามารถมุ่งไปสู่จุดหมายได้ เพราะถ้าคุณใช้ชีวิตหรือทำงานไปโดยปราศจากเป้าหมาย หรือไม่ได้ตั้งเป้าอะไรเลย ก็จะกลายเป็นเหยื่อของความขี้เกียจได้

4) คิดถึงอนาคตเข้าไว้

ไม่แปลกเลยที่ จะมีบางเวลา ที่เรารู้สึกขี้เกียจ แต่ก็อย่าให้นานนัก อาจจะพักเล็กน้อย ให้คิดทบทวนตัวเองสัก 5 นาที เพื่อมองว่า อะไรคืออนาคตที่สำคัญของคุณกันแน่ และเมื่อคุณมองเห็นแล้วประโยชน์ที่จะได้รับ หากทำงานสำเร็จ และถ้าได้ขจัดความขี้เกียจออกไป คุณก็จะมีแรงมากพอ ที่จะโฟกัสในการทำงานต่อไปได้ จะช่วยทำให้คุณมีแรงกระตุ้น ที่จะทำงานต่อไป และหลีกเลี่ยงที่จะติดกับดักแห่งความขี้เกียจนั้น

5) พักผ่อนนอนหลับให้พอเพียง

บ่อยครั้งที่เรารู้สึกขี้เกียจ จะทำให้รู้สึกว่าอยากพัก หรือหยุดทำบ่อย ๆ ซึ่งท้ายสุด จะนำมาสู่อาการขี้เกียจ หรือขาดพลังงาน และจะทำให้ไฟในการทำงานค่อย ๆ มอดทีละน้อย ดังนั้น การพักผ่อนให้เพียงพอ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับตัวเอง อาจจะเป็นการพักทีละน้อยระหว่างทำงาน เพื่อทำให้ไม่เครียด หรือกดดันจนเกินไป ซึ่งมันจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และงานที่ออกมาก็จะประณีตมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ การนอนหลับพักผ่อนในช่วงเวลากลางคืน ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ดังนั้น ให้คุณนอนหลับให้สนิท ไม่นอนดึก

6) หนีจากสิ่งยั่วยุต่าง ๆ ที่ทำให้สมาธิไขว้เขว

ระหว่างการทำงาน อาจจะมีสิ่งยั่วยุเย้ายวนใจ ให้คุณหลุดจากโฟกัสจากการทำงานได้ เช่น การกดมือถือเล่น หรือลงไปคลุกกับน้องแมวที่บ้าน เป็นต้น ซึ่งสิ่งยั่วยุเหล่านี้ จะทำให้คุณเสียเวลาทำงานไปมากโขทีเดียว ดังนั้น จึงควรที่จะหลีกเลี่ยงเส้นทาง หรือโอกาสที่จะทำให้พบกับสิ่งยั่วยุดังกล่าวข้างต้น

7) ทำงานน่าเบื่อให้สนุก

หลายครั้งคุณยอมก็จำนนต่อความขี้เกียจ เพราะงานมันน่าเบื่อ ดังนั้น เพื่อไม่ให้รู้สึกเบื่อหน่าย กับงานที่ทำอยู่ตรงหน้า ก็อาจจะต้องหาวิธี หรือ หนทางที่จะสร้างสรรค์ ไม่ให้มันน่าเบื่อก็ได้ เช่น การเปิดเพลงระหว่างฟัง หรือการสร้างแรงกระตุ้นแรงบันดาลใจด้วยการฟังพ็อดแคสต์ดีๆ เป็นต้น

เลี้ยงแมวในบ้าน เลี้ยงอย่างไร ให้แมวสุขภาพดี มีความสุข ห่างไกลโรค และไม่เครียด

เลี้ยงแมวในบ้าน เลี้ยงอย่างไร ให้แมวสุขภาพดี มีความสุข ห่างไกลโรค และไม่เครียด

เลี้ยงแมวในบ้าน

เลี้ยงแมวในบ้าน เลี้ยงอย่างไร ให้แมวสุขภาพดี มีความสุข ห่างไกลโรค และไม่เครียด

เลี้ยงแมวในบ้าน เลี้ยงอย่างไร ให้แมวสุขภาพดี มีความสุข ห่างไกลโรค และไม่เครียด หนึ่งสิ่งที่เจ้าของแมวหลาย ๆ คน เห็นตรงกัน ก็คือ การเลี้ยงแมวในบ้านนั้น จะช่วยให้เจ้าของสบายใจ ทั้งในเรื่องการดูแลสุขภาพ และเรื่องความปลอดภัย สำหรับตัวน้องแมวเอง บวกกับวิถีชีวิต ของเจ้าของแมวในปัจจุบันที่เปลี่ยนไป โดยมีการเข้ามาอาศัย อยู่ในคอนโดกันมากขึ้น อีกทั้งคอนโดหลาย ๆ แห่งก็อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ จึงไม่แปลกเลย ที่การเลี้ยงแมวในคอนโด จะได้รับความนิยม เพิ่มสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก สำหรับแมว ที่ต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่จำกัด แบบไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกแล้วนั้น การจะดูแลพวกเขาให้มีความสุขนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลย เรามีเทคนิคเลี้ยงน้องแมวในบ้าน ให้สุขภาพดี และมีความสุขมาฝากกัน

เลี้ยงแมวอย่างไร ให้แมวสุขภาพดี มีความสุข ห่างไกลโรค และไม่เครียด

เลี้ยงแมวในบ้าน เลี้ยงอย่างไร ให้แมวสุขภาพดี มีความสุข ห่างไกลโรค และไม่เครียด

ทำไมต้องเลี้ยงแมว ไม่ออกไปนอกบ้าน

ตามธรรมชาติแล้ว สิ่งสำคัญสำหรับน้องแมว ก็คือเรื่องของอาณาเขต เรียกได้ว่า ถ้าจัดการเรื่องพื้นที่ หรืออาณาเขตของน้องแมว ให้ตอบโจทย์ มีทุกสิ่งที่น้องแมวต้องการ ให้เลือกสรร และยังสะอาด สะอ้าน ถูกใจแล้วล่ะก็ การที่น้องแมวจะออกไปเที่ยวนอกบ้านนั้น เป็นเรื่องที่เจ้าของแมว แทบจะไม่ต้องเป็นกังวลเลย ไม่ว่าจะเป็น การเลี้ยงน้องแมวให้อยู่ในบ้าน หรือการเลี้ยงน้องแมวในคอนโดนั้น ช่วยให้เราสังเกตเห็น ความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับน้องแมวได้ ตั้งแต่เนิ่น ๆ และพาน้องแมวไปรับการรักษาได้ทันท่วงที ซึ่งการเลี้ยงน้องแมวในบ้าน ให้มีสุขภาพดี มีความสุข ไม่ออกไปข้างนอกนั้น ส่งผลดีต่อตัวน้องแมวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น

– บาดเจ็บน้อยลง : ไม่ว่าจะเป็น การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เช่น อุบัติเหตุจากการถูกรถชน รวมไปถึง การได้รับบาดเจ็บ จากการกัดกัน รวมทั้ง ถูกทำร้ายจากสุนัข และสัตว์อันตรายที่มีพิษอื่น ๆ ด้วย
– ลดโอกาสการสูญหาย : หลาย ๆ ครั้งหลาย ๆ คราว ที่เมื่อน้องแมว ไปเที่ยวนอกบ้าน แล้วไม่ได้กลับมา เหตุการณ์เช่นนี้ คงไม่อยากให้ เกิดขึ้นกับน้องแมวที่เรารัก
– ลดโอกาสการติดโรคติดต่อร้ายแรง : น้องแมวที่เลี้ยงแบบปล่อย มีโอกาสที่จะติดโรคติดต่อร้ายแรงต่าง ๆ จากการต่อสู้กัน เมื่อออกไปอยู่นอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็น โรคลูคีเมียในแมว โรคเอดส์แมว ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้แมวถึงแก่ชีวิตได้
– ลดโอกาสการติดปรสิต : ปรสิตและพยาธิชนิดต่าง ๆ เหล่านี้ มีโอกาสที่จะติดต่อ มาสู่คนได้อีกทอดหนึ่ง การเลี้ยงน้องแมวในบ้านให้มีสุขภาพดี ก็เหมือนเป็นการดูแล สมาชิกในครอบครัวของเราให้มีสุขภาพดีไปด้วยนั่นเอง
– มีอายุยืนยาว : โดยพบว่าน้องแมวที่เลี้ยงระบบปิด จะมีอายุยืนยาวกว่าน้องแมวที่เลี้ยงแบบปล่อย โดยน้องแมวที่เลี้ยงในระบบปิดนั้นมีอายุยาวนานได้ถึง 17 ปี หรือมากกว่านั้นเลยทีเดียว

วิธีฝึกแมวให้อยู่ในบ้านอย่างมีความสุข

– อาหารแสนอร่อย : สิ่งสำคัญ ที่จะช่วยฝึกให้น้องแมวอยู่บ้านได้อย่างแฮปปี้ ก็ต้องเลือกสรร อาหารแสนอร่อย มาช่วยดึงดูดใจ เติมเสน่ห์มัดใจน้องแมว ให้อยู่ติดบ้าน

– น้ำสะอาดสดใหม่ : ตามธรรมชาติ น้องแมวมักกินน้ำ เมื่อรู้สึกกระหาย ในขณะที่เจ้าของ มักจะวางชามน้ำไว้ให้แมวในจุด ๆ เดิม ซึ่งในบางครั้ง เมื่อน้องแมวเล่นอยู่ที่มุมอื่น ๆ ของบ้าน อาจทำให้น้องแมวไม่ได้กินน้ำ และขาดน้ำได้ เจ้าของจึงควรวางชามน้ำ เพิ่มให้น้องแมวในจุดต่าง ๆ ของบ้าน และเลือกชามน้ำให้มีความหลากหลาย อาจสลับกับน้ำพุแมวบ้างเป็นบางจุด เมื่อน้องแมวเล่นจนหิวน้ำ เมื่อไหร่ ก็สามารถดื่มน้ำได้เลยทันที

– วิวสูง ๆ ให้นั่งชิลล์ : ตามธรรมชาติ น้องแมวมักจะชอบปีนขึ้นไป บนที่สูง เพื่อให้สามารถมองเห็นบริวณรอบ ๆ ได้ การหาบริเวณที่จะให้น้องแมวขึ้นไป นั่งมองเห็นจากที่สูง และรู้สึกปลอดภัยนั้น จะช่วยให้น้องแมว อยากอยู่ติดบ้านมากขึ้น โดยควรคำนึงถึงความแข็งแรงและความปลอดภัย สามารถรับน้ำหนักตัวน้องแมวได้ โดยไม่เป็นอันตราย หากไม่มีบริเวณ ให้น้องแมวไปนอนชมวิว ก็อาจเลือกเป็นคอนโดแมว ให้น้องแมวสามารถปีนขึ้นไป ชิลล์ด้านบนแทนก็ได้

– ที่ลับเล็บแมวสุดหรรษา : สิ่งที่ช่วยผ่อนคลายให้กับน้องแมวได้ดีที่สุด อย่างหนึ่ง เวลาที่ต้องฝึกน้องแมว ให้อยู่กับบ้าน ก็ต้องยกให้กับที่ลับเล็บแมวนี่แหละ นอกจากที่จะช่วยลับเล็บ และได้เป็นการสร้างอาณาเขตสำหรับน้องแมวแล้ว ยังช่วยลดปัญหาน้องแมวไปข่วนทำลายเฟอร์นิเจอร์ในบ้านได้อีกด้วย

– มีมุมสงบให้พักผ่อน : นอกจากมีบริเวณให้น้องแมว ได้สร้างสังคมร่วมกันแล้ว ก็อย่าลืมจัดมุมสงบให้น้องแมวได้อยู่เงียบ ๆ ด้วย ส่วนมาก ก็ไม่ได้กินพื้นที่อะไรมากมาย เพราะน้องแมวมักอาศัยบริเวณใต้ตู้ ใต้เตียง หรือมุมเงียบๆ หลังโซฟา ไว้เป็นมุมสงบให้พักใจ

– กระบะทรายถูกใจ : สิ่งนี้สำคัญมากไม่แพ้เรื่องใด โดยในบ้านนั้นควรมีปริมาณของกระบะทรายที่เพียงพอ อาศัยหลักการในการเตรียมจำนวนกระบะทรายง่าย ๆ คือ เตรียมกระบะทรายให้มากกว่าจำนวนน้องแมวในบ้านไว้อีก 1 อัน และต้องหมั่นทำความสะอาดกระบะทรายอยู่เสมอด้วย

– มีเวลาให้กันหน่อย : การเลี้ยงน้องแมวในบ้าน และฝึกให้น้องแมวอยู่บ้าน ต้องอาศัยความเอาใจใส่จากเจ้าของแมว ด้วยเช่นกัน เจ้าของควรหมั่น สังเกตพฤติกรรมของน้องแมว และสร้างบรรยากาศ ในการอยู่บ้านด้วยกัน ให้สนุกสนาน เพียงเท่านี้ น้องแมวก็อยากอยู่บ้าน ไม่อยากไปไหนไกลแล้ว

ห่างเซ็กส์นาน ไม่มีเพศสัมพันธ์เป็นเวลานาน ส่งผลกระทบอย่างไรกับร่างกายบ้าง เมื่อชีวิตปราศจากการมีเซ็กส์

ห่างเซ็กส์นาน ไม่มีเพศสัมพันธ์เป็นเวลานาน ส่งผลกระทบอย่างไรกับร่างกายบ้าง เมื่อชีวิตปราศจากการมีเซ็กส์

ห่างเซ็กส์นาน

ห่างเซ็กส์นาน ไม่มีเพศสัมพันธ์เป็นเวลานาน ส่งผลกระทบอย่างไรกับร่างกายบ้าง เมื่อชีวิตปราศจากการมีเซ็กส์

ห่างเซ็กส์นาน ไม่มีเพศสัมพันธ์เป็นเวลานาน ส่งผลกระทบอย่างไรกับร่างกายบ้าง เมื่อชีวิตปราศจากการมีเซ็กส์ ก็เหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญขาดหายไป มีหลายคู่ที่เลิกราเพราะสาเหตุดังกล่าว เซ็กส์ห่วย แฟนไม่ทำการบ้าน แล้วก็ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่กระทบต่อความสัมพันธ์ แต่ยังส่งผลถึงร่างกายของเราอีกด้วย 

ไม่มีเพศสัมพันธ์เป็นเวลานาน ส่งผลกระทบอย่างไรกับร่างกายบ้าง เมื่อชีวิตปราศจากการมีเซ็กส์

ห่างเซ็กส์นาน ไม่มีเพศสัมพันธ์เป็นเวลานาน ส่งผลกระทบอย่างไรกับร่างกายบ้าง เมื่อชีวิตปราศจากการมีเซ็กส์

1. ร่างกายหลั่งสารเอนโดรฟินน้อยลง

เราต่างก็รู้ดีว่า สารเอ็นดอร์ฟิน เป็นฮอร์โมนที่ช่วยบรรเทาอาการปวดตามธรรมชาติที่ผลิตจากภายในร่างกายหลังทำกิจกรรมต่าง ๆ  เช่น การออกกำลังกาย การมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น ดังนั้น การขาดเซ็กส์ จึงส่งผลต่อฮอร์โมนนี้ ที่อาจขาดหายตามไปด้วย แต่ถ้าคุณไม่มีคู่นอนที่จะทำเรื่องอย่างว่า เราก็ขอแนะนำให้หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งก็ช่วยได้เหมือนกัน  

2. ความเครียดสะสมมากขึ้น

จากผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารฉบับหนึ่งเมื่อปี 2005 ทางชีวจิตวิทยาชี้ให้เห็นว่า การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนนั้น มีประสิทธิภาพมากกว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง เพราะการมีเซ็กส์ นอกจากจะช่วยเพิ่มระดับสารเอ็นดอร์ฟินแล้ว ยังช่วยหลั่งฮอร์โมนอ็อกซิโทซิน (Oxytocin) ที่ผลิตโดยสมอง ที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้ง คอร์ติซอล(Cortisol) ฮอร์โมนแห่งความเครียด ที่ส่งผลเสียต่อร่างกายในด้านต่าง ๆ เช่น การนอนไม่หลับ การหิวตลอดเวลา ระบบทางเดินมีปัญหา อารมณ์หงุดหงิดง่าย เป็นต้น

3. ส่งผลต่อความจำ

จากผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยแม็กกิลล์พบว่า การมีเพศสัมพันธ์ ช่วยเพิ่มศักยภาพในด้านความจำ เนื่องจากสารเคมีที่สมองหลั่ง ขณะมีเพศสัมพันธ์ จะช่วยพัฒนาเนื้อเยื่อประสาทในสมอง ทำให้ความจำดียิ่งขึ้น โดยนักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการทดลองโดยให้อาสาสมัครจำนวน 78 คน ซึ่งเป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 18-29 ปี ทำแบบทดสอบการจดจำคำที่เป็นนามธรรม และใบหน้าของผู้คนในคอมพิวเตอร์ ซึ่งผลปรากฎว่า ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้ง สามารถจดจำคำได้มาก แต่การมีเพศสัมพันธ์ไม่ส่งผลต่อศักยภาพในการจดจำใบหน้าของผู้คน นักวิจัยจึงสรุปได้ว่า การมีเพศสัมพันธ์จะช่วยพัฒนา ระบบประสาทในสมองส่วนฮิปโปแคมปัส และทำให้เนื้อเยื่อประสาทเติบโตเร็วขึ้น ส่งผลให้ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์บ่อย สามารถจดจำคำได้มากกว่า

4. ผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน

งานวิจัยโด่งดัง จากวารสาร Psychological Reports ระบุว่า การมีเพศสัมพันธ์ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง สามารถกระตุ้นการสร้างอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) ซึ่งเป็นสารจากระบบภูมิคุ้มกันอย่างหนึ่ง ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ หรือแอนติบอดี (Antibody) ซึ่งผู้ที่มีเซ็กส์บ่อย จะมีเจ้าสารนี้สูงกว่า ผู้ที่มีกิจกรรมทางเพศน้อยครั้ง

5. ผลต่อผนังช่อคลอด

สำหรับปัญหานี้ มักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงในวัยที่หมดประจำเดือนแล้ว ซึ่งถ้าหากปราศจากการมีเพศสัมพันธ์เป็นระยะเวลานาน จะทำให้ผู้หญิงวัยนี้มีช่องคลอดที่บางลง ซึ่งนำไปสู่ปัญหา ด้านการเจ็บบริเวณปากช่องคลอด และอาจมีเลือดออกในการมีเพศสัมพันธ์ ในครั้งถัดไป โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หญิงวัยนี้ ควรมีเซ็กส์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดปัญหาความอ่อนแอของผนังช่องคลอดของตน

นอกจากนี้ การมีเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอนั้น ยังสามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือนลงได้ เพราะว่ากล้ามเนื้อบริเวณมดลูกจะเกิดการหดตัว เมื่อผู้หญิงเราถึงจุดสุดยอด รวมถึงสารเอ็นดอร์ฟินที่ร่างกายผลิตขึ้นมาภายหลังถึงจุดสุดยอด จะช่วยลดปัญหาการปวดประจำเดือนได้

6. ส่งผลต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย

ผลการวิจัยที่เผยแพร่ใน American Journal of Medicine ปี 2008 รายงานว่า จากการทดสอบผู้ชายจำนวน 900 คน ตั้งแต่วัย 55-75 ปี พบว่า ผู้ชายเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ที่มีเพศสัมพันธ์ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะประสบกับปัญหาอวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว น้อยกว่าคนที่ไม่มีเพศสัมพันธ์เลย อีกทั้ง การมีเซ็กส์สม่ำเสมอนั้น สามารถช่วยป้องกันปัญหาอวัยวะเพศไม่แข็งตัว ซึ่งเป็นปัญหาที่นำไปสู่การนออกใจและการหย่าร้างในภายหลังได้

7. ดีต่อสุขภาพหัวใจ

การมีกิจกรรมทางเพศ นอกจากจะช่วยลดความเครียดแล้ว การมีเพศสัมพันธ์ยังส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจด้วย ผลการวิจัยที่เผยแพร่ในวารสาร American Jouranal of Cardiology ได้ระบุถึงการเชื่อมโยงของความถี่ ในการมีกิจกรรมทางเพศ ที่ส่งผลต่อการเป็นโรคหลอดเลือดและหัวใจ แม้การวิจัยนี้ จะไม่ได้บอกว่าการมีเซ็กซ์บ่อย ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ แต่ตามรายงานของคลีฟแลนด์คลีนิค แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมทางเพศนั้นเป็นสิ่งที่เข้ากับสุขภาพหัวใจที่ดี

แมวหายทำไง มาดู 7 วิธี ตามหาแมวหาย เคล็ดลับออกตามหาแมว เมื่อเจ้านายหนีออกจากบ้าน

แมวหายทำไง มาดู 7 วิธี ตามหาแมวหาย เคล็ดลับออกตามหาแมว เมื่อเจ้านายหนีออกจากบ้าน

แมวหายทำไง

แมวหายทำไง มาดู 7 วิธี ตามหาแมวหาย เคล็ดลับออกตามหาแมว เมื่อเจ้านายหนีออกจากบ้าน

แมวหายทำไง มาดู 7 วิธี ตามหาแมวหาย เคล็ดลับออกตามหาแมว เมื่อเจ้านายหนีออกจากบ้าน ไม่ว่าแมวจะเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน ที่มีหน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดู สักเพียงใด แต่ด้วยสัญชาตญาณนักล่าในตัว ก็ทำให้พวกมัน ชอบออกไปใช้ชีวิตนอกบ้าน หรือมักจะหนีออกจากบ้านเป็นประจำ จนทำให้เกิดปัญหาแมวหายอยู่บ่อย ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ทาสแมวอย่างเรา ๆ รู้สึกเป็นกังวลมาก ฉะนั้นบทความนี้ จึงขอเสนอ สิ่งที่ต้องทำเมื่อแมวหายออกจากบ้าน รับรองช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการตามหาแมวให้ดี จะมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันดีกว่า

มาดู 7 วิธี ตามหาแมวหาย เคล็ดลับออกตามหาแมว เมื่อเจ้านายหนีออกจากบ้าน

แมวหายทำไง มาดู 7 วิธี ตามหาแมวหาย เคล็ดลับออกตามหาแมว เมื่อเจ้านายหนีออกจากบ้าน

1. ออกตามหาพร้อมกับกลิ่นที่คุ้นเคย

หากกลับมาบ้านแล้วไม่พบแมวเหมือนทุกครั้ง สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ ค้นทุกซอกทุกมุมของบ้านอย่างละเอียด พยายามมองหาให้ครอบคลุมทุกตารางนิ้ว ถ้าไม่พบจริง ๆ ค่อยสวมเสื้อตัวเก่าหรือรองเท้าคู่เก่าแล้วออกไปสำรวจนอกบ้าน พร้อมกับเปิดกระป๋องอาหารหรือขนมที้ขาเคยกิน และเขย่าเบา ๆ ไปด้วย วิธีนี้จะช่วยให้แมวได้กลิ่นของเจ้าของ และทำให้แมวได้ยินเสียงของกิน จนกลับมาหาเจ้าของได้ถูก

2. เลือกเวลาให้เหมาะสม

หลังกลับมาจากการตามหาแมวรอบแรกแล้ว ให้พักผ่อนและรอเวลาที่เหมาะสม ก่อนจะออกตามหาอีกครั้งในช่วงค่ำ ๆ เพราะบรรยากาศโดยรวมจะเงียบสงบ ช่วยให้เสียงเรียกดังขึ้น ทำให้แมวได้ยินดีมากขึ้น ส่วนวิธีการตามหาก็เหมือนเดิม เรียกชื่อแมวในน้ำเสียงที่นุ่มนวล พร้อมกับเขย่ากระป๋องอาหาร หรือไม่ก็เปิดอาหารให้กลิ่นโชยไปด้วย โดยเจ้าของบางคนอาจจะอัดเสียงเปิดกระป๋องไว้ แล้วใช้เล่นซ้ำเพื่อช่วยเรียกความสนใจไปเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าหากแมวอยู่ในละแวกที่ตามหาจริง ๆ ทำแบบนี้ ไม่นานแมวก็จะปรากฏตัว

3. ทำเซฟโซนเผื่อแมวกลับบ้าน

อีกหนึ่งสิ่งที่ควรทำระหว่างรอให้แมวกลับบ้านหลังจากมันหายตัวไป คือ นำกล่องลังหรือกล่องกระดาษขนาดใหญ่เจาะรูด้านข้างให้แมวพอเข้าไปได้ จากนั้นก็กลับด้านปากกล่องลงข้างล่าง แล้วเอาไปวางไว้หน้าบ้าน พร้อมใส่ที่นอนนุ่ม ๆ เข้าไปข้างใน หาน้ำ หาอาหารมาวางไว้ใกล้ ๆ เพื่อให้เป็นที่เซฟโซนเมื่อน้องแมวกลับมา นอกจากนี้ก่อนจะเข้าไปนอน หรือเข้าไปพักผ่อน ก็อย่าลืมเรียกแมวอีกสักครั้ง และถ้าเป็นไปได้ ให้หันกล้องวงจรปิด มาบริเวณนี้ เผื่อช่วยสอดส่องด้วยก็จะดีมาก

4. สอบถามกับคนใกล้ตัว

นอกจากจะตามหาแมวด้วยตัวเองแล้ว บางครั้งมันก็ดีกว่าที่จะสอบถามเพื่อนบ้านหรือคนระแวกบ้าน เพื่อกระจายความทั่วถึง และให้พวกเขาช่วยกันสอดส่อง โดยนำรูปติดตัวไปด้วยระหว่างออกค้นหา

5. ติดป้ายประกาศหรือใบปลิว

สิ่งสำคัญไม่แพ้การออกตามหา ก็คือการทำป้ายประกาศ หรือใบปลิว โดยป้ายที่ดีไม่จำเป็นต้องสวยมากมาย แต่ต้องมีข้อมูลครบถ้วน เน้นคำว่าแมวหายตัวใหญ่ ๆ ให้คนที่ผ่านไปผ่านมา มองเห็นหรือสะดุดตา มีรูปแมวของตัวเองประกอบ ควรเป็นรูปสีที่เห็นจุดเด่นชัดเจน มีชื่อแมว มีคำอธิบายรายละเอียด เช่น สี พันธุ์ ลักษณะ พบครั้งสุดท้ายที่ไหน จากนั้นก็ใส่เบอร์โทร. หรือช่องทางให้ติดต่อกลับลงไป ควรทำข้อมูลติดต่อเป็นช่องเล็ก ๆ ที่ท้ายกระดาษ เพื่อให้คนสามารถฉีกติดตัวไปได้ง่าย ๆ พร้อมทั้งใช้กระดาษที่ทนน้ำด้วย

เมื่อทำป้ายหรือใบปลิวเสร็จเรียบร้อย ก็นำไปติดไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ทุกที่ที่สามารทำได้ โดยให้ติดในระดับสายตา หรือแจกให้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้ดู หลังจากนั้นก็หมั่นตรวจสอบทุกวันว่าป้ายยังอยู่ครบ ซึ่งเวลาไปตรวจสอบก็อย่าลืมนำป้ายใหม่ ไปเผื่อแทนอันเก่าที่อาจจะหายไปด้วย

6. โพสต์ลงโซเชียลมีเดีย

ไม่ใช่แค่ติดป้ายประกาศในละแวกใกล้เคียงเท่านั้น แต่ควรโพสต์ตาม โซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น เฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ ด้วย โดยให้เน้นตามกลุ่มทาสแมว หรือกลุ่มเขตที่ตนอาศัยอยู่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการมองเห็น เปิดโอกาสในการแชร์สู่วงกว้าง และถือเป็นการกระจายข่าวที่ง่ายและเร็วที่สุด

7. เช็กแถวบ้านเก่า

สำหรับคนที่เพิ่งย้ายบ้าน หรือเปลี่ยนบ้านใหม่ หากออกตามหาแมวบริเวณใกล้เคียงเท่าไร ก็ไม่เจอ อย่าลืมขยายอาณาเขต ไปยังละแวกบ้านเก่าด้วย เพราะแมวบางตัว อาจจะรู้สึกชิน คิดถึง โหยหา และพยายามหนีกลับไปถิ่นเดิมของเขานั่นเอง

เทคนิคถ่ายรูป เทคนิคถ่ายภาพบุคคลให้ไม่โดนบ่น ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามสูง ก็ถ่ายสวยได้

เทคนิคถ่ายรูป เทคนิคถ่ายภาพบุคคลให้ไม่โดนบ่น ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามสูง ก็ถ่ายสวยได้

เทคนิคถ่ายรูป

เทคนิคถ่ายรูป เทคนิคถ่ายภาพบุคคลให้ไม่โดนบ่น ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามสูง ก็ถ่ายสวยได้

เทคนิคถ่ายรูปภาพบุคคลให้ไม่โดนบ่น ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามสูง ก็ถ่ายสวยได้ การถ่ายภาพด้วยมือถือในปัจจุบันนั้น ทำได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้เทคนิคอะไรมาก เพราะมือถือเเต่ละค่ายทำออกมาเพื่อรองรับความต้องการของตลาดผู้ใช้มือถือในการถ่ายรูปอยู่แล้ว ไม่ว่าจะกล้องหน้าหรือกล้องหลัง เเต่สำหรับบางคนเเล้วก็ยังคงมีปัญหาเรื่องการถ่ายเเล้วไม่สวย มาดูกันว่าจะมีเทคนิคอะไรบ้างที่จะช่วยให้ท่านถ่ายภาพบุคคลด้วยมือถือให้สวยขึ้น

เทคนิคถ่ายภาพบุคคลให้ไม่โดนบ่น ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามสูง ก็ถ่ายสวยได้

เทคนิคถ่ายรูป เทคนิคถ่ายภาพบุคคลให้ไม่โดนบ่น ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามสูง ก็ถ่ายสวยได้

1. หาสถานที่ที่เหมาะกับการถ่ายภาพ

ถ้าจะให้ง่ายที่สุดเลยคือร้านกาเเฟ เพราะร้านกาแฟเเต่ละที่ได้คำนึงถึงเรื่องการจัดมุมจัดเเสงไว้ให้ลูกค้าถ่ายภาพอยู่เเล้ว ถึงเเม้จะไม่ใช้เเสงธรรมชาติ เเต่เเสงไฟในร้านช่วยให้ถ่ายภาพออกมาสวยได้เ บางร้านตั้งใจจะจัดร้านเป็นโทนสีขาว เพื่อให้ลูกค้าได้ถ่ายภาพออกมาสวยสมใจ
ส่วนบางร้านอาจจะเเต่งเเนวธรรมชาติหรือสีสันฉูดฉาดก็ตาม ซึ่งมุมเหล่านั้นใช้เป็นมุมถ่ายภาพที่สวยได้เลยเเต่ถ้าเป็นการถ่ายภาพนอกตัวอาคารเวลาไปเที่ยว ให้เลือกถ่ายภาพช่วงเวลาที่มีเเสงอ่อน เช่น ตอนเช้าเเละตอนเย็นที่เเดดไม่จัด นอกจากไม่ร้อนเเล้ว ภาพที่ออกมายังสวยอีกด้วย

2. พื้นหลังต้องไม่รบกวนเเละไม่ดึงความสนใจออกจากตัวเเบบ

ไม่ว่าจะถ่ายภายในหรือภายนอกตัวอาคาร ภาพพื้นหลังไม่ควรจะเเย่งความโดดเด่นออกจากตัวเเบบ ควรพยายามหาพื้นหลังที่สีเรียบ และอย่าให้มีจุดดึงสายตาออกไป เช่น คน สัตว์ สิ่งมีชีวิตที่อยู่พื้นหลัง เพราะโดยปกติของมนุษย์จะมองหาความมีชีวิตหรือสิ่งมีชีวิตเเล้วตัวเเบบจะถูกดึงความสนใจออกไป อีกอย่างหนึ่งที่เห็นพลาดบ่อยคือตัวเเบบถ่ายกับพื้นหลังที่เป็นต้นไม้หรือเสาไฟฟ้า เเล้วต้นไม้อยู่ตรงกับบริเวณศีรษะพอดี จึงทำให้ภาพที่อกมาเหมือนต้นไม้งอกขึ้นมาจากตัวเเบบ ดังนั้นก่อนจะถ่ายภาพก็ลองสังเกตจุดนี้ไว้ให้ดีด้วย

3. อย่าลืมปรับตั้งค่ากล้องเป็นการถ่ายภาพบุคคล

ควรปรับโหมดถ่ายภาพให้เป็นภาพบุคคลเพื่อความเนียบฟุ้งสวยงาม ซึ่งในมือถือบางรุ่นใช้ selective focus เพื่อปรับความฟุ้งของพื้นหลัง ส่วนบางรุ่น AI จะเลือกโหมดให้อัตโนมัติ ทั้งยังเลือกระดับความฟุ้ง ความเนียนใสได้อีก เมื่อปรับค่าเเล้วมีเพียงอย่างเดียวที่ต้องคำนึงถึงก็คือการจัดองค์ประกอบภาพนั่นเอง

4. เปิดใช้งาน Grid เพื่อช่วยในการวางตำเเหน่ง

เปิด Grid ขึ้นมาหรือเปิดตัวช่วยในการจัดองค์ประกอบภาพ เพื่อให้จัดภาพได้ตามสัดส่วนที่ดี เช่น จุดตัดเก้าช่อง ก็ให้วางตัวเเบบอยู่บนจุดตัด หรือถ้าเป็นสัดส่วนทองคำ ก็ให้วางวัตถุในจุดที่กำหนดไว้ให้ รวมทั้งให้ดูเเนวเส้นนำสายตา โดยเส้นสายต่าง ๆ จะช่วยดึงความสนใจไปที่ตัวเเบบ ดูไม่ยากเเค่อย่าให้เส้นเหล่านั้นดึงความสนใจออกไปนอกเฟรมก็พอ

5. ให้ตัวเเบบหันหน้าเข้าหาแหล่งกำเนิดเเสง (ขึ้นอยู่กับการดีไซน์ภาพของเเต่ละคน)

ในร้านอาหารหรือร้านกาเเฟต่างๆ ก็สามารถถ่ายกับเเสงธรรมชาติได้ โดยอาศัยเเสงที่เข้าจากทางหน้าต่าง ให้ตัวเเบบหันหน้าออกไปที่หน้าต่าง เพื่อให้เเสงตกกระทบไปยังใบหน้าของตัวเเบบนั่นเอง หรือถ้าเป็นการถ่ายช่วงกลางคืน จะใช้ไฟถนน หรือไฟจากร้านค้าต่าง ๆ ก็ใช้ได้เลย ถ้าหากแสงมากหรือน้อยไปก็ปรับความสว่างโดยใช้ exposure บางรุ่นเพียงเเตะโฟกัส ฟังก์ชั่น exposure ก็ขึ้นมาให้ปรับเเสงได้เลย

6. แตะโฟกัสให้เข้าที่หน้า หรือที่ตาเสมอ

การถ่ายภาพบุคคลก็ต้องให้บุคคลเป็นตัวเเบบที่ชัด ที่สำคัญต้องให้ตาชัดด้วย เมื่อจัดองค์ประกอบเเล้วก็อย่าลืมเเตะโฟกัสที่ตัวเเบบด้วย เพื่อเป็นการสั่งให้กล้องถ่ายจุดนั้นให้ชัด กล้องบางเเบรนด์จับโฟกัสที่ใบหน้าอัตโนมัติ ก็ทำให้ง่ายเเละสะดวกสบายต่อการถ่ายภาพได้มากขึ้น

7. สร้างเลเยอร์ให้ภาพ และการตีกรอบภาพ

การจะถ่ายภาพให้ดูมีมิตินั้นจะทำได้โดยการสร้างเลเยอร์ให้ภาพ การถ่ายภาพมือถือก็ใช้หลักนี้เช่นกัน ดังนั้นเวลาจะถ่ายภาพให้ลองสร้าง foreground โดยการเดินออกห่างตัวเเบบเเละใช้ซูมเลนส์ ถ่ายตัวเเบบผ่านกระถางดอกไม้ หรือต้นไม้ โดยให้กระถางดอกไม้ หรือต้นไม้ ทำหน้าที่ตีกรอบให้ภาพ รวมทั้งเป็นการสร้าง Foreground ให้กับภาพไปในเวลาเดียวกันด้วย

ทรงผมหน้าม้า แบบสาวญี่ปุ่น ไขข้อข้องใจว่าทำไมไอดอลญี่ปุ่นชอบไว้หน้าม้ากันนะ

ทรงผมหน้าม้า แบบสาวญี่ปุ่น ไขข้อข้องใจว่าทำไมไอดอลญี่ปุ่นชอบไว้หน้าม้ากันนะ

ทรงผมหน้าม้า

ทรงผมหน้าม้า แบบสาวญี่ปุ่น ไขข้อข้องใจว่าทำไมไอดอลญี่ปุ่นชอบไว้หน้าม้ากันนะ

ทรงผมหน้าม้า แบบสาวญี่ปุ่น ไขข้อข้องใจว่าทำไมสาวญี่ปุ่นชอบไว้หน้าม้ากันนะ เชื่อว่าคนไทยหลาย ๆ คนชื่นชอบไอดอลญี่ปุ่นและคอยติดตามเรื่อยมาไม่ว่าจะเป็น มัตสึดะ เซโกะ มอร์นิงมุซุเมะ หรือ AKB48 ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าพวกเธอเหล่านี้มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือ ทุกคนไว้ผมทรงหน้าม้า เรียกได้ว่าไอดอลญี่ปุ่นไว้ผมหน้าม้ากันแทบทุกคนเลยก็ว่าได้ มองไปทางไหนก็หน้าม้าเต็มไปหมด ในขณะที่ไอดอลฝั่งเกาหลีกลับไม่ค่อยไว้ผมหน้าม้ากันเท่าไหร่ เคยสงสัยกันหรือไม่ว่าเพราะอะไร วันนี้เราจะพาไปไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องนี้จากการสอบถามและสำรวจอดีตไอดอลและช่างตัดผมกัน

ไขข้อข้องใจว่าทำไมไอดอลญี่ปุ่นชอบไว้หน้าม้ากันนะ

ทรงผมหน้าม้า แบบสาวญี่ปุ่น ไขข้อข้องใจว่าทำไมไอดอลญี่ปุ่นชอบไว้หน้าม้ากันนะ

เพราะผู้ชายญี่ปุ่นชอบผู้หญิงน่ารัก

อดีตไอดอลใต้ดิน (คือไอดอลที่ไม่ได้เปิดตัวกับค่ายเพลงและไม่ค่อยเป็นที่โด่งดัง) ที่ทั้งร้องทั้งเต้นและจับมือกับแฟน ๆ ในย่านอะคิฮาบาระและอิเคะบุคุโระตั้งแต่อายุ 19 ถึง 22 ปีและจบการศึกษาจากวงเมื่อปี 2019 เนื่องจากทนกับการทำหน้ายิ้มตลอดไม่ไหว เล่าว่า ตัวเธอเองคิดว่าเหตุผลที่ไอดอลญี่ปุ่นมักจะไว้ผมหน้าม้าเพราะว่าคนญี่ปุ่นชอบผู้หญิงน่ารักมากกว่าผู้หญิงสวย ซึ่งความคิดแบบนี้น่าจะมาจากทัศนคติผู้ชายเป็นใหญ่ที่เป็นมาแต่สมัยก่อน ตั้งแต่ยุคเมจิความคิดที่ว่าพ่อเป็นประมุขของบ้านเป็นที่แพร่หลาย ทำให้ผู้ชายมีบทบาทเป็นอย่างมากในสังคม จนเมื่อถึงยุคหลังสงครามที่นายพลแมกอาร์เธอร์เข้ามาถึงได้ยกเลิกระบอบผู้ชายเป็นใหญ่ และเริ่มรับวัฒนธรรม Lady First เข้ามา แต่ตัวผู้ชายเองคงคิดว่าการมีผู้หญิงมาปกป้องมันน่าอับอาย ก็เลยอยากจะแข็งแรงกว่าผู้หญิง จึงทำให้ผู้หญิงที่ดูน่ารักเป็นที่ชื่นชอบ คนที่เป็นแฟนคลับและทุ่มเทเงินให้กับไอดอลก็เป็นผู้ชายมีอายุที่โตมาในยุคโชวะทั้งนั้น การไว้ผมม้าเพื่อให้ตัวเองดูน่ารัก จะทำให้เหล่าแฟนคลับรู้สึกอยากปกป้องไอดอลของตน เป็นเหตุให้ไอดอลญี่ปุ่นชอบไว้ผมม้าเพื่อคงความน่ารักและดูอ่อนเยาว์เอาไว้นั่นเอง

ผู้หญิงญี่ปุ่นชอบไอดอลแนวสวยสง่า

ถ้าหากเป็นแฟนคลับผู้หญิงมักจะชอบไอดอลที่ดูเท่มากกว่า ประมาณว่าเป็นผู้หญิงที่เนื้อหอมในหมู่สาวๆ ม. ปลาย สำหรับแฟนคลับผู้หญิงแล้ว การไม่ไว้ผมหน้าม้า การมีกล้ามท้อง และการแสดงออกที่ดูเป็นผู้ใหญ่ มีความดูแลตัวเองได้จะเป็นที่ชื่นชอบ อย่างไอดอลเกาหลีส่วนมากจะเป็นไอดอลแนวสวยสง่ามากกว่า ส่วนแฟนคลับผู้ชายวัยรุ่นที่อายุน้อยลงมาเหมือนว่าจะไม่อินกับทัศนคติแบบเก่า ๆ แล้ว เลยคิดว่าต่อจากนี้ไอดอลญี่ปุ่นที่ไว้ผมหน้าม้าคงจะน้อยลง การพยายามรักษาผมหน้าม้าไว้ไม่ให้ขยับแม้จะเต้นแรงหรือเหงื่อออกแค่ไหนถือเป็นสิ่งสำคัญของไอดอล ในห้องพักของเหล่าไอดอลมักจะมีสเปรย์ผมวางไว้เต็มไปหมด

ผมหน้าม้าช่วยทำให้หน้าเด็กลง

ช่างทำผมของร้านทำผมแถวชินจุกุบอกว่า การไว้ผมหน้าม้าช่วยให้เราดูหน้าเด็กลงได้ พอคนเราอายุมากขึ้นรูปหน้าก็จะยาวมากขึ้นไปด้วย การไว้ผมหน้าม้าเพื่อปกปิดหน้าผาก จึงทำให้หน้าดูกลมขึ้นเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เขายังบอกอีกว่าเหตุผลที่ไอดอลเกาหลีมักไม่ไว้ผมหน้าม้าอาจเป็นเพราะรูปหน้าของเขา คนเกาหลีนิยมการศัลยกรรมให้จมูกดูโด่งและใบหน้าดูเรียวยาว คนที่คางแหลมจะดูเป็นผู้ใหญ่ ทำให้ไม่ค่อยเข้ากับผมหน้าม้าสักเท่าไหร่นัก อีกอย่างหนึ่งคนเกาหลีมักจะฉีดกรดไฮยาลูโรนิคให้หน้าผากดูนูนสวยขึ้นมาอีกด้วย ทำให้คงจะไม่อยากไว้ผมหน้าม้าไปปิดบังส่วนนั้น

 

 

 

สรุปแล้วเหตุผลที่ไอดอลญี่ปุ่นมักที่จะไว้ผมหน้าม้าคงจะมี 2 เหตุผลหลัก ๆ ก็คือ การที่ผู้ชายญี่ปุ่นชอบผู้หญิงน่ารักไว้ผมหน้าม้า และรูปหน้าของผู้หญิงชาวญี่ปุ่นเหมาะกับผมหน้าม้า แต่ในปัจจุบันทัศนคติของผู้ชายญี่ปุ่นรุ่นใหม่ได้เปลี่ยนไปและความนิยมของแฟนคลับไอดอลผู้หญิงอาจทำให้เทรนด์ผมหน้าม้าของไอดอลญี่ปุ่นลดลงไปก็ได้ ไม่รู้ว่าในอีก 10 ปี ภาพจำของไอดอลจะเป็นอย่างไร คงต้องมาคอยติดตามกันแล้วล่ะ

ดูแลผิวรอบดวงตา สิ่งสำคัญที่ไม่ควรปล่อยปะละเลย ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษอย่างอ่อนโยน

ดูแลผิวรอบดวงตา สิ่งสำคัญที่ไม่ควรปล่อยปะละเลย ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษอย่างอ่อนโยน

ดูแลผิวรอบดวงตา สิ่งสำคัญที่ไม่ควรปล่อยปะละเลย ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษอย่างอ่อนโยน

ดูแลผิวรอบดวงตา

ดูแลผิวรอบดวงตา สิ่งสำคัญที่ไม่ควรปล่อยปะละเลย ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษอย่างอ่อนโยน เมื่อพูดถึงความงาน สิ่งที่สามารถบ่งบอกอายุและความเหนื่อยล้าของเราได้อย่างชัดเจนก็คือผิวรอบดวงตา ซึ่งถ้าพูดถึงการดูแลผิวหน้าโดยทั่วไปแล้วหลายคนอาจจะได้คะแนนเต็ม 10  สำหรับการลงเซรั่มและครีมบำรุงต่างๆ เป็นประจำ แต่อย่างไรก็ตามหนึ่งในขั้นตอนบำรุงผิวที่มักจะถูกลืมหรือมองข้ามก็คือการใช้อายครีม ซึ่งเป็นสเต็ปที่หลายคนอาจมองว่าไม่จำเป็นและคิดว่าเพียงแค่มอยซ์เจอไรเซอร์ที่ทาลงไปก็สามารถให้ความชุ่มชื้นได้ทั่วทั้งใบหน้าแล้ว  ก็จริงอยู่ที่มอยซ์เจอไรเซอร์ของเราอาจช่วยให้ผิวรอบดวงตาชุ่มชื้นพอ แต่สาวๆ ทราบหรือไม่ว่าผิวบริเวณใต้ตาของเรานั้นบอบบางมากๆ เมื่อเทียบกับผิวส่วนอื่นของใบหน้า ซึ่งมอยซ์เจอไรเซอร์ที่เราทาอาจมีเนื้อสัมผัสที่หนักเกินไป จนไม่สามารถซึมได้ ทำให้เนื้อครีมกองอยู่บนผิว นี่จึงเป็นที่มาของการใช้อายครีมซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อความบอบบางของผิวบริเวณรอบดวงตาของเรา

สิ่งสำคัญที่ไม่ควรปล่อยปะละเลย ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษอย่างอ่อนโยน

ดูแลผิวรอบดวงตา สิ่งสำคัญที่ไม่ควรปล่อยปะละเลย ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษอย่างอ่อนโยน

เหตุผลที่เราถึงควรเริ่มใช้อายครีม

– ผิวรอบๆ ดวงตาร่วงโรยได้รวดเร็วกว่าผิวส่วนอื่น

ในแต่ละวันนั้น เราใช้สายตากันเยอะมาก ดวงตาของเราขยับและต้องโฟกัสตลอดเวลา ทั้งจากการจ้องโทรศัพท์และหน้าจอคอมฯ แล้วไหนจะตอนที่เราต้องล้างมาสคาร่าและอายเมกอัพออก ซึ่งขณะที่ล้างหรือเช็ ผิวรอบๆ ดวงตาจะต้องถูกสัมผัสเป็นประจำทุกวันแน่นอน โดยนอกจากปัจจัยของอายุที่เพิ่มขึ้นแล้ว ไลฟ์สไตล์และกิจกรรมต่างๆ ของเรานี่ล่ะที่เป็นปัจจัยที่เร่งให้ผิวรอบดวงตาของเราดูแก่ก่อนวัย โดยมีริ้วรอยและความหมองคล้ำเป็นสัญญาณของผิวที่ร่วงโรยก่อนวัย และเมื่อผิวรอบดวงตาเริ่มดูหย่อนคล้อยหรือขาดความกระชับ ก็อาจจะส่งผลให้ใบหน้าของเราโดยรวมดูไม่เปล่งปลั่งและดูอิดโรยได้

 

– มีความบอบบางเป็นพิเศษ

เนื่องจากว่า ผิวบริเวณรอบดวงตาของเราบอบบางมากกว่าผิวส่วนอื่น การดูแลแค่การลงมอยซ์เจอไรเซอร์อาจจะไม่พอเพียงและไม่ตอบโจทย์กับผิวใต้ตาของเราสักเท่าไหร่ในแง่ของการฟื้นบำรุง โดยการใช้อายครีมเป็นประจำจะช่วยให้ผิวรอบดวงตามีสุขภาพที่ดีได้ในระยะยาว เนื่องจากมีส่วนผสมที่ช่วยในเรื่องความกระชับอย่างเช่นเปป์ไทด์ หรือวิตามินซีที่ช่วยเรื่องความกระจ่างใส เป็นต้น ที่สำคัญยังมีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างบางเบาและซึมซาบได้ไวกว่าเมื่อเทียบกับมอยซ์เจอไรเซอร์ทั่วๆ ไป

 

– สูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย

นอกจากบอบบางกว่าแล้ว ผิวรอบๆ ดวงตาเรายังสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายกว่า เป็นที่มาที่บางครั้งคอนซีเลอร์หรือเมกอัพที่เราลงบริเวณใต้ตาจะตกร่องได้ง่ายกว่าส่วนอื่นของใบหน้า อายครีมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยคงความชุ่มชื้นระหว่างวันได้ โดยในปัจจุบันอายครีมมักจะมาพร้อมเนื้อสัมผัสมที่ซึบไวและมาพร้อมส่วนผสมและนวัตกรรมการบำรุงที่ช่วยทั้งเรื่องความชุ่มชื้น ความกระชับ และความกระจ่างใสไปในเวลาเดียวกันด้วย

 

– ความหมองคล้ำและริ้วรอยสามารถเป็นต้นเหตุที่ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย

เคล็ดลับผิวอ่อนเยาว์ไม่ได้หยุดเพียงแค่เซรั่มบำรุงผิวหน้าแต่อย่างเดียว เพระถ้าผิวหน้าสวยกระชับแต่ผิวใต้ตาดูหมองคล้ำและหย่อนคล้อย ใบหน้าของเราก็อาจจะดูอิดโรยและทำให้ดูแก่กว่าวัยได้

เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ถ้าคุณเคยทำแบบนี้

  1. ผิวบริเวณนี้จะบอบบางมาก เวลาเจอครีมแรงๆ จะสะสมความระคายเคืองยิ่งทำให้โทรมไว
  2. ปัญหาใต้ตาคล้ำบางคนก็เข้าใจผิดว่าเกิดจากเม็ดสี ก็สรรหาไวท์เทนนิงเช็ดรอบดวงตา
  3. ครีมบำรุงต่างๆ ต้องสังเกตดูจากฉลากของครีมด้วยว่า หลีกเลี่ยงบริเวณรอบดวงตาหรือไม่
  4. ถ้าใช้อายครีมที่บอกสรรพคุณลดใต้ตาคล้ำไปสักระยะแล้วดูคล้ำเป็นแพนด้า ให้เลิกใช้แล้วปรึกษาแพทย์
  5. แต่งหน้าทุกวัน แล้วเวลาล้างเครื่องสำอางจะเช็ดรอบดวงตาหลายรอบมากและเช็ดแรงๆ ด้วย อันนี้ไม่ควรอย่างยิ่งเพราะมันจะทำร้ายผิวรอบดวงตาแทนการทำความสะอาด
  6. นอนดึก ตื่นเช้า ไม่เคยทาอายครีมเลย ถ้าคุณอายุเข้า 30 อายครีมถือว่าสำคัญมาก
  7. เลือกใช้อายครีมที่ราคาถูกกว่าแต่สรรพคุณไม่อ่อนโยนต่อผิวรอบดวงตา
  8. ความไวของผิวแต่ละคนไม่เท่ากัน ควรศึกษาอย่างละเอียดก่อนเลือกใช้อายครีมต่างๆ
ดวงการเก็บเงิน เทคนิควางแผนการเงินตามราศี ราศีไหนเก็บเงินอย่างไรให้ปัง

ดวงการเก็บเงิน เทคนิควางแผนการเงินตามราศี ราศีไหนเก็บเงินอย่างไรให้ปัง

ดวงการเก็บเงิน เทคนิควางแผนการเงินตามราศี ราศีไหนเก็บเงินอย่างไรให้ปัง

ดวงการเก็บเงิน

ดวงการเก็บเงิน วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง คำกล่าวนี้ใช้ได้ดีกับทุกเรื่องจริงๆ แล้วการเก็บเงินของคนแต่ละราศีก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งวันนี้เราจะขอนำเสนอวิธีวางแผนการเงินตามราศีของคุณ เพื่อเป็นแนวทางในการเก็บเงินของคุณด้วย ราศีไหนจะเก็บอย่างไรนั้น ไปดูกันเลย

ดวงการเก็บเงิน เทคนิควางแผนการเงินตามราศี ราศีไหนเก็บเงินอย่างไรให้ปัง

ดวงการเก็บเงิน เทคนิควางแผนการเงินตามราศี ราศีไหนเก็บเงินอย่างไรให้ปัง

ราศีมังกร (15 ม.ค. - 12 ก.พ.)

คุณจะได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวหรือรุ่นพี่ คุณต้องระมัดระวังการใช้เงินอย่างเป็นเหตุ โดยเฉพาะในเรื่องของความเสียหาย ของเสีย และสุขภาพของคุณ  แนะนำให้ทำประกันสุขภาพด้วย จากหนักไปเบา  นอกจากนี้ไม่ควรลงทุนอะไรเลยเพราะคนราศีมังกรดื้อ เงียบ เชื่อในตัวเองสูงเกินไป  ใครบอกใครเตือนอะไร  หรือคิดชั่วขณะ ทางออกที่ดีที่สุด ถ้าคุณได้เงิน แนะนำให้ซื้อเป็นสินทรัพย์หรือกองทุนรวมต่างๆ  ออมระยะยาวจะดีกว่า

ราศีกุมภ์ (13 ก.พ. – 14 มี.ค.)

ราศีนี้เป็นราศีที่หาเงินเก่งสุดแต่กระเป๋าก็รั่วที่สุดๆ เช่นกัน มีรายจ่ายจุกจิกอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเกิดจากอารมณ์ของตัวเอง ล้วน ๆ ดังนั้นจึงต้องวางแผนการเงินให้รัดกุมและรอบคอบกว่านี้ ของพังของเสียก็ต้องซ่อมไม่ใช่จะซื้อใหม่อย่างเดียว วิธีที่ดีที่สุดคือการทำ freelance jobs ใช้ความสามารถของตัวเองทำให้เงินเข้าหลายช่องทาง โดยที่ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงใด ๆ จะเหมาะสมกับชาว ๆ ราศีนี้ที่สุด

ราศีมีน (15 มี.ค. – 13 เม.ย.)

ข่าวดีสำหรับชาวราศีมีนไม่ว่าจะเป็นการทำ ธุรกรรมกับสถาบันการเงินหรือเงินพิเศษจาก การทำงาน (Incentive) หากอยากทำธุรกิจ เพื่อให้มีเงินเข้ามามากขึ้น ควรเน้นสินค้า เล็ก ๆ เพื่อ เลก ราคาไม่แพง เน้นขายสินค้าในปริมาณที่เยอะ ๆ สิ่งที่ต้องระวัง คือ การเงินที่รออาจล่าช้า ติดขัด บ้าง เพื่อให้สำเร็จและบรรลุเป้าหมาย ควร วางแผนสำรองหรือกล้าเจรจาต่อรองเพื่อให้ สถานะการเงินเป็นตามเป้าหมาย วิธีที่ดีที่สุด อย่าเพิ่งสร้างภาระหนี้สินระยะยาวผูกพันใด ๆ ตราบใดที่การเงินยังไม่นิ่งเท่าที่ควร

ราศีเมษ (14 เม.ย. – 14 พ.ค.)

ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ยังทำให้เหนื่อย จะมีคนมาขอ ความช่วยเหลือ และไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะฉะนั้นจัดสรรเงินเก็บให้ดี เพื่อที่จะอยู่ได้ อย่างไม่สาบาก วิธีที่ดีที่สุดคือเก็บเงินไว้ก่อน แต่หากมองหาการลงทุนในอนาคตแนะนำให้ เรียนรู้เรื่องหุ้น การเทรดทอง น้ามัน หรือค่าเงิน ดิจิตอล ไว้ก่อน ช่วงปลายปีมีเกณฑ์ลงทุนแล้ว ได้ผลกำไรกลับมา

ราศีพฤษภ (15 พ.ค. – 14 มิ.ย.)

ชาวราศีพฤษภ รู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าตนเองจะ ต้องบริหารจัดการยังไง แต่กระนั้นก็ยังมี ความเครียดความกังวล และหากต้องการขาย ทรัพย์สินบางส่วนเพื่อลดภาระในเรื่องที่ไม่ จําเป็น ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ปัญหาที่ ต้องระวังอย่ารอเงินที่คิดว่าจะได้ ถึงแม้จะ วางแผนไว้ดีแล้ว อาจล่าช้า หรือผิดคาดจากสิ่ง ที่คิดไว้

ราศีเมถุน (15 มิ.ย. – 16 ก.ค.)

อย่าหลงเชื่อใครที่ชวนลงทุน ในรูปแบบที่ได้ผลตอบแทนเร็ว ระวังจะถูกหลอกลวงซื้อของออนไลน์ พรีออเดอร์ของสิ่งใดไว้ ระวังจะได้ สินค้าไม่ตรงตามที่สั่ง เรื่องการเสี่ยงโชคพอมีบ้าง แต่หากได้แล้วต้องรู้จักพอ ถ้าลงเพิ่มอีกจะเสียมากกว่าได้ วางเป้าหมายเก็บเงินไว้ เท่าไร ๆ ก็เก็บไม่อยู่สักที เป็นเพราะโปรแกรมเที่ยวล่อตาล่อใจ วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือบังคับตัวเองเรื่องการใช้บัตรเครดิตหรือควบคุมเงิน รายวันของตัวเองให้ได้

ราศีกรกฎ (17 ก.ค. – 16 ส.ค.)

โดยรวมแล้วชาวราศีกรกฎค่อนข้างควบคุมรายรับรายจ่ายได้ดี แต่ก็อดใจซื้อขอ สวย ๆ งาม ๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะผู้ชายจะหมดเงินไปกับการแต่งบ้าน/รถ แต่ก็ไม่ ได้ใช้เงินมือเติบอะไร ถือเป็นการซื้อเพื่อให้รางวัลตัวเองมากกว่า เป้าหมายที่วางไว้หาก ๆ อยากจะมีธุรกิจเล็ก ๆ ให้มีเงินหมุนเข้ามาบ้าง สามารถทำได้เลย

ราศีสิงห์ (17 ส.ค. – 16 ก.ย.)

การเงินเหนื่อยหนักหน่อยขอให้อดทน รายรับยังไม่คงที่ แต่รายจ่ายชัดเจนแน่นอนมาก มีเกณฑ์กู้เงินจากสถาบันการเงินต่าง ๆ หรือหากจะ ลงทุนสิ่งใด ให้เน้นเป็นอาหารและเครื่องดื่มง่าย ๆ เพื่อบรรเทาปัญหาที่แบกรับอยู่ตอนนี้ พักการใช้จ่ายเงินเพื่อสนองความต้องการของตัว เองก่อน การเงินจะราบรื่นอีกครั้งในช่วงเดือนกันยายนเป็นต้นไป สิ่งที่ควรระวังให้ดีเลยคือ ระวังจะเสียเครดิตเรื่องเงินจากคําพูดของตัวเอง

ราศีกันย์ (17 ก.ย. – 17 ต.ค.)

การเงินไม่ได้มีปัญหากับชาวราศีกันย์ แต่คนรอบข้างของชาวราศีนี้นี่แหละ มักจะเข้ามาขอความช่วยเหลือเรื่องเงินๆ ทองๆ พอช่วยเหลือใครไปแล้วก็อึดอัดที่จะถามไถ่ถวงคืน ก็ต้องใจแข็งหน่อยอย่าพึ่งเป็นคนโอนไวกับทุกเรื่อง วิธีที่ดีที่สุดเปลี่ยนเงินให้เป็นทรัพย์สิน ควรซื้อทองหรือของมีมูลค่าอื่น ๆ เพื่อขายเกร็งราคาในอนาคตได้ แต่การเงินโดยทั่วไปยังอยู่ในเกณฑ์ดีไม่มีปัญหาอะไร

ราศีตุลย์ (18 ต.ค. – 16 พ.ย.)

หากคิดจะลงทุนแล้วศักยภาพยังไม่พร้อม อย่าเพิ่ ใจร้อนลงเงินไปก่อน เพราะจะพบเจอปัญหาการเงินจุกจิกกวนใจคุยเจรจาทวงถามต้องใจเย็น หากใจอารมณ์ร้อนจะพังไปหมด คิดจะทำอะไรควรปรึกษาผู้ใหญ่ให้มาก

ราศีพิจิก (17 พ.ย. – 15 ธ.ค.)

เป็นอีกหนึ่งราศีที่ชิลๆ ในเรื่องงานเงิน อยากรักษาสภาพคล่องของตัวเองแบบนี้ไปสักระยะก่อน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีแต่ก็อดไม่ได้กับเรื่องโชค ลาภหรือการเสี่ยงดวงในรูปแบบต่าง ๆ ยังไงก็เบาๆลงบ้าง ช่วงนี้ชาวราศีพิจิกดูมีความสุขกับการคำนวณเงินที่เป็นรายรับ แต่พอจะจ่ายก็บ่น สิ่งที่ต้องระวังคือเอกสารเกี่ยวกับการเงินบิลชำระต่าง ๆ ดูให้รอบคอบอย่าตกหล่นและระวังจะมีปัญหาในภายหลัง

ราศีธนู (16 ธ.ค. – 14 ม.ค.)

เป็นราศีที่งานมาก่อนเงิน งานหนักแต่ก็รอเงินนาน แต่โชคดีที่ชาวราศีธนูวางแผนการเงินของตัวเองไว้บ้างแล้ว การเงินจึงไม่มีปัญหาเท่าไร แต่ก็ควรระวังการจับจ่ายซื้อของ เพราะเป็นคนยุขึ้น หลายครั้งจึงเกิดปัญหาซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ เอาแต่นั่งมองจะให้คนอื่นก็ได้เสียดายของ